tag:blogger.com,1999:blog-114910172024-03-13T22:37:29.067-07:00ความฝัน และ จิตไร้สำนึก ศึกษาเรื่องความฝัน ในมุมของจิตวิทยาสาย Jungian และ สุบินโยคะ ของธิเบตSom Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.comBlogger22125tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-85282467921040499432012-02-02T04:23:00.001-08:002020-01-24T01:58:40.691-08:00เมื่อจิตไร้สำนึกแปลงร่างเป็นสัตว์ต่างๆมาเข้าฝัน<div style="color: #666666;">
เมื่อจิตไร้สำนึกแปลงร่างเป็นสัตว์ต่างๆมาเข้าฝัน </div>
<div style="color: #666666;">
การถอดรหัสเพื่อให้ได้ยินเสียงกระซิบของสัตว์ตัวนั้นว่าต้องการจะสื่อหรือเตือนอะไรเรา </div>
<div style="color: #666666;">
เริ่มจากการบันทึกข้อสังเกต dream observation </div>
<div style="color: #666666;">
โดยให้บันทึกเท่าที่จำได้โดยไม่พยายามเค้นความจำ </div>
<div style="color: #666666;">
ระวังอย่าต่อเติมเสริมแต่งเรื่องราวในฉากฝัน </div>
<div style="color: #666666;">
<br />
<br /></div>
<table cellpadding="0" cellspacing="0" class="tr-caption-container" style="float: left; margin-right: 1em; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-FrMgvcPP9xw/TyrPsgj-yZI/AAAAAAAAAPQ/R3loK0hVJns/s1600/webowl2355.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; margin-bottom: 1em; margin-left: auto; margin-right: auto;"><img border="0" height="400" src="https://3.bp.blogspot.com/-FrMgvcPP9xw/TyrPsgj-yZI/AAAAAAAAAPQ/R3loK0hVJns/s400/webowl2355.jpg" width="296" /></a></td></tr>
<tr><td class="tr-caption" style="text-align: center;"><span style="color: #999999;">(ภาพประกอบวาดโดย ครูแม่ส้ม Som Amorn)</span></td></tr>
</tbody></table>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br />
<br />
<br />
<br />
1.ฝันเห็นสัตว์อะไร </div>
<div style="color: #666666;">
2.สัตว์ตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่า </div>
<div style="color: #666666;">
3.เชื่องหรือดุร้าย </div>
<div style="color: #666666;">
4.เป็นสัตว์ที่ดูสุขภาพสมบูรณ์ หรือดูอ่อนแอขี้โรค หิวโซ </div>
<div style="color: #666666;">
5.สัตว์ตัวนั้นอาศัยอยู่ที่ไหน เช่น ในบ้าน ในป่า ในสวน ในความมืด ในที่โล่ง ในรู ในอากาศ หรือในน้ำ </div>
<div style="color: #666666;">
6.เรามีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ตัวนั้นอย่างไร เช่น เรามองดูเฉยๆ เราขี่หลังมัน เราสัมผัสจับต้อง เราพูดคุยด้วย หรือ ถูกกัด ถูกคำรามใส่ หรือวิ่งหนี </div>
<div style="color: #666666;">
7.ตำแหน่งของสัตว์ตัวนั้นอยู่ทิศทางไหนของเรา เช่น อยู่ข้างบน อยู่ข้างล่าง ข้างหน้า ข้างหลัง </div>
<div style="color: #666666;">
8.การเคลื่อนไหวของสัตว์ตัวนั้น เคลื่อนไหวเร็ว หรือช้าๆ หรืออยู่นิ่งๆ </div>
<div style="color: #666666;">
9.สัตว์ตัวนั้นมีสีอะไร </div>
<div style="color: #666666;">
10.มีจำนวนกี่ตัว </div>
<div style="color: #666666;">
11.มีสัตว์ชนิดอื่นปรากฏร่วมด้วยหรือเปล่า </div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
ก่อนที่จะพยายามถอดรหัสความหมายของความฝัน
ให้บันทึกข้อสังเกตทำนองนี้ไว้ในสมุดจดฝันก่อน
ยังไม่ต้องรีบร้อนตีความ
ขณะที่เขียน dream observation
จิตสำนึกกับจิตไร้สำนึกจะค่อยๆทำความรู้จักกัน พูดง่ายๆว่า จิตขณะตื่นกับจิตขณะหลับจะค่อยๆหลอมรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งส่งผลให้เมื่อเราสืบค้นความหมายของสัตว์ในฝันจากตำราต่างๆ
จิตหยั่งรู้ที่เป็น intuitive mind จะทำงานเอง </div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
การทำงานกับความฝันต้องอาศัยเวลาค่อยๆซึมซับสัญญาณและถอดรหัสสัญญาณเหล่านั้น เหตุเพราะสัญญาณและสัญลักษณ์ที่เข้ารหัสมาเป็นความฝันของเรานั้น มันใช้เวลาบ่มเพาะฟักตัวมานาน บางสัญลักษณ์ก็อาจจะบ่มเพาะค่อยๆก่อนรูปสร้างร่างขึ้นมาตั้งแต่สมัยเรายังเป็นเด็กเล็กๆ เหตุการณ์ที่เราพบเจอได้ประทับลงไปในจิตสำนึก จิตใต้สำนึก และจิตไร้สำนึกตลอดเวลา ในศาสตร์สุบินโยคะของธิเบตเรียกที่สะสมรอยประทับนี้ว่า "<a href="http://kroosom-dream.blogspot.com/2005/03/blog-post_111138065944507037.html" style="color: #741b47;" target="_blank">อาลัยวิญญาณ</a>" (คลิกอ่านเรื่อง"จิตที่คลุมเครือ")</div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<span style="color: #666666;">ครูแม่ส้ม (สมพร อมรรัตนเสรีกุล)</span><br />
<span style="color: #666666;">เขียน 3 กุมภา 2555</span><br />
<span style="color: #666666;"><br /></span>
<br />
<br />Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-23276557562568604922011-12-08T00:51:00.001-08:002020-01-24T01:58:11.995-08:00วิกฤต .. ไอ้เบื๊อก .. และผู้กล้า<span style="color: #666666; font-size: small;"></span><br />
<span style="color: #666666; font-size: small;"></span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<a href="http://1.bp.blogspot.com/-m020o_0E0xE/TuC9K5A4pZI/AAAAAAAAAO0/1O7o3_AAAJw/s1600/9698232-head-monk-in-tree.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="265" src="https://1.bp.blogspot.com/-m020o_0E0xE/TuC9K5A4pZI/AAAAAAAAAO0/1O7o3_AAAJw/s400/9698232-head-monk-in-tree.jpg" width="400" /></a></div>
<span style="color: #666666; font-size: small;"><br style="font-family: inherit;" /><span style="font-family: inherit;">ประโยคเตือนใจของคนจีนที่ว่า"วิกฤตคือโอกาส"นั้น ถ้าอธิบายเชื่อมโยงกับเรื่อง"ตัวตนใหม่" ใน Individuation ของคาร์ล ยุง ก็จะอธิบายได้ว่า วิกฤตการณ์ที่สำคัญๆแต่ละครั้งของชีวิต ล้วนมีนัยยะและเหตุผลของการเกิดขึ้น </span></span><br />
<br />
<span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">และแต่ละครั้งที่คนเราเผชิญวิกฤต(crisis) ไม่ว่าจะดีกรีขนาดไหนก็แล้วแต่ ล้วนเป็นสัญญาณของการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่ส่งออกมาจากจิตไร้สำนึกบุคคล(personal unconscious) </span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">นักจิตบำบัดสายยุงเกี้ยนเห็นพ้องกันว่า แบบแผนการทำงานของจิตไร้สำนึกระดับปัจเจกบุคคลนั้นเชื่อมสัมพันธ์กับแบบแผนหลักของจิตไร้สำนึกใหญ่ที่เป็นจิตไร้สำนึกร่วมกันของมนุษยชาติ หรือ collective unconscious </span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">หมายความว่าไม่ว่าจะเป็นแบบแผนการใช้ชีวิต กระบวนการของจิตและพฤติกรรม หรือรูปแบบและกลยุทธ์ที่เราใช้อยู่ทุกๆวันจนกลายเป็นสัญชาตญาณประจำตัว ไม่ว่าผู้คนในอดีตนับพันปีมาแล้ว หรือคนในยุคสมัยปัจจุบัน ไม่ว่าคนเผ่าพันธุ์ไหน อยู่ซีกโลกไหน สีผิวสีตาสีผมอย่างไร ก็มีแนวโน้มที่จิตไร้สำนึกจะทำงานตามแบบแผนหรือ pattern ที่เป็นวงจรดำเนินซ้ำ </span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">แนวคิดนี้สามารถค้นและศึกษาเพิ่มเติมได้จากหัวเรื่องเหล่านี้ </span></span><br />
<ul>
<li><span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">Collective Archetype, Collective Psyche , </span></span></li>
<li><span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">รหัสศาสตร์ใน Symbolism และ Mythology , </span></span></li>
<li><span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">Psychology of Selves ใน Voice Dialogue method, </span></span></li>
<li><span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">จิตวิทยางานกระบวนการ หรือ Process Work , </span></span></li>
<li><span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">การศึกษาเรื่องความฝันซึ่งส่งผลกระทบกายและจิตอย่างเป็นองค์รวม หรือ Psychosomatic theory of dreams (โยงกับอี้จิงและชี่บำบัดของจีน) </span></span></li>
<li><span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;"> Family Constellation (ทำงานกับจิตระดับญาณทัศนะ(Intuition) ซึ่งคาร์ล ยุง เรียกว่าจิตไร้สำนึกร่วม (Collective Unconsciou) </span></span></li>
<li><span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">รวมถึงระบบจิตวิทยาโบราณที่ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมานับพันปีในศาสตร์ไพ่พยากรณ์ Tarot(ทาโรต์) , เลขศาสตร์ (Numerology) และ โหราศาสตร์ (Astrology) เป็นต้น</span></span></li>
</ul>
<span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;"> ดังนั้นถ้าหากว่าเมื่อไรเปิดไพ่ทาโรต์ได้ไพ่วิกฤต แล้วคนอ่านไพ่ทำนายไปในทางที่ทำให้เราตกใจ อกสั่นขวัญหนีดีฝ่อ ห่อเหี่ยว ท้อแท้ หมดหนทาง และเกิดความกลัวขึ้นมา ขอให้ตระหนักไว้ว่าไพ่ไม่ได้มีอำนาจเหนือเรา จิตไร้สำนึกของเราเองต่างหากที่เป็นผู้ดึงไพ่ใบนี้ออกมา และจิตไร้สำนึกของเรากำลังเตือนเราว่า"โอกาสของการปรับเปลี่ยนชีวิต"อยู่ตรงหน้าแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะ"เลือก"เดินต่อหรือยอมแพ้ </span></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">การปรากฏขึ้นของไพ่แต่ละใบ คือคำเตือนที่ปัญญาญาณด้านใน(Intuition)ที่อยู่ในจิตไร้สำนึกกำลังพยายามสื่อสารกับจิตสำนึก(conscious) ประเด็นสำคัญคือเราทุกคนกำลังเดินทาง และเมื่อมาถึงจุดหักเหของเส้นทาง ตัวเรานั้นเองคือ"ผู้เลือก" เลือกว่าจะเดินไปทิศทางไหน เลือกวิถีทิศ เลือกอาวุธคู่กาย เลือกที่จะสู้และฝ่าฟันความยากลำบาก และเลือกที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อนำกลับไปมอบให้อนุชนรุ่นหลัง </span></span><br />
<span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;"><br /></span></span>
<span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">วิถีแห่ง"ผู้(กล้า)เลือก" ปรากฏอยู่ทั้งใน The Fool's Journey (ไพ่ทาโรต์ชุดหลัก-Major Arcana) <i></i></span></span><span class="st"><i></i></span><span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">และใน The Hero's Journey ซึ่งโจเซฟ แคมเบลล์ (Joseph Campbell)ศิษย์คนหนึ่งของคาร์ล ยุง เรียกแบบแผนวงจรของผู้กล้า(เลือก)ซึ่งดำเนินซ้ำๆมาทุกยุคทุกสมัยนี้ว่า Monomyth</span></span><span class="st"><br /></span><br />
<span style="font-size: small;"><br /></span>
<span style="color: #666666; font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">เมื่อ"วิกฤต"ทำให้เราสำนึกได้ว่า"ถ้าอยากจะรอดก็ต้องกล้าเลือก" ในจังหวะที่สำนึกนั้นเกิดขึ้น ทัศนคติการมองโลกเดิมก็เปลี่ยนไป เรากำลังกลายร่างเป็นคนใหม่(transforming) และนี่เป็นกระบวนการเติบโตจากด้านในระดับปัจเจกบุคคล(personal transformation) ที่คาร์ล ยุงเรียกกระบวนการนี้ว่า Individuation </span></span><span class="st"><span style="color: #666666;"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">ซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นรอบๆ(loops)ตลอดช่วงชีวิตของคนเรา </span></span></span></span><br />
<span class="st"><span style="color: #666666;"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: inherit;"><br /></span></span></span></span>
<span class="st"><span style="color: #666666;"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: inherit;">ครูแม่ส้ม </span></span></span></span><br />
<h6 class="uiStreamMessage" data-ft="{"type":1}">
<i><span style="font-size: x-small; font-weight: normal;"><span style="color: #999999;">คุยกันต่อได้ที่เฟสบุ๊คเพจ (คลิก) </span><a href="http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B9%88-%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B5-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99-Decoding-Symbols-in-Arts-Dream-and-Tarot/197288093642761" style="color: #999999;">ถอดรหัสภาพ ไพ่ และความฝัน</a><span style="color: #999999;"> </span> </span></i></h6>
Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-58099428324029239712011-06-08T18:06:00.000-07:002020-01-24T01:57:32.566-08:00เหตุแห่งฝัน 1>2>3>4>6 ของคาร์ลยุง<span style="color: rgb(102 , 102 , 102); font-family: "arial"; font-size: 100%; font-weight: bold;"><a href="http://www.facebook.com/kroosom"></a><a href="http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B9%88-%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B5-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99-Decoding-Symbols-in-Arts-Dream-and-Tarot/197288093642761"></a></span><br />
มาจากเพจครูแม่ส้ม<br />
<span style="color: rgb(102 , 102 , 102); font-family: "arial"; font-size: 100%; font-weight: bold;"><span class="uiStreamSource" ft="{"type":26}"><a href="http://www.facebook.com/kroosom/posts/209362549101982"><abbr date="Sat, 04 Jun 2011 00:46:44 -0700" title="Saturday, 04 June 2011 at 14:46"></abbr></a></span></span><br />
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock" style="color: #666666;">
<span style="font-size: 100%;"><a class="actorPic UIImageBlock_Image UIImageBlock_SMALL_Image" ft="{"type":34}" href="http://www.facebook.com/kroosom" tabindex="-1"><img alt="" class="uiProfilePhoto uiProfilePhotoMedium img" src="http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile-ak-snc4/186297_1258303204_8142627_q.jpg" /></a><label class="deleteAction stat_elem UIImageBlock_Ext uiCloseButton" for="u236873_1"></label></span><br />
<div class="commentContent UIImageBlock_Content UIImageBlock_SMALL_Content" ft="{"type":33}">
<span style="font-size: 100%;">มีเรื่องน่ารักเกิดขึ้นในหนังสือ Children's Dream ซึ่งรวบรวมคำบรรยายของดร.คาร์ลยุงเกี่ยวกับความฝันของวัยเยาว์ ในบทที่พูดถึงต้นเหตุและปัจจัยที่มำให้เกิดกระบวนการความฝัน หรือ dream process นั้นมีเยอะแยะมากมาย แต่สรุปสั้นๆได้ 5 สาเหตุ คือ</span><br />
<span style="font-size: 100%;"><br /><span jsid="text">1. Somatic sources : คือปัจจัยทางกายภาพ เช่น ความเจ็บป่วย การนอนในท่านอนที่ผิดปกติ เช่นนอนทับแขน หรือตกหมอน หรืออาหารไม่ย่อย ฯลฯ อันนี้ก็ตรงกับที่เราเรียกว<wbr></wbr><span class="word_break"></span>่าฝันเพราะ"ธาตุกำเริบ" (ธาตุโขภะ)</span></span><br />
<div class="commentActions fsm fwn fcg">
<span style="font-size: 100%;"><abbr date="Sat, 04 Jun 2011 00:49:27 -0700" title="Saturday, 04 June 2011 at 14:49"></abbr><span class="comment_like_2987671 fsm fwn fcg" ft="{"type":36}"><a class="uiTooltip comment_like_button" href="http://www.facebook.com/browse/?type=likes&id=209362895768614" rel="dialog"><br /></a></span></span></div>
</div>
</div>
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock" style="color: #666666;">
<span style="font-size: 100%;"><a class="actorPic UIImageBlock_Image UIImageBlock_SMALL_Image" ft="{"type":34}" href="http://www.facebook.com/kroosom" tabindex="-1"><img alt="" class="uiProfilePhoto uiProfilePhotoMedium img" src="http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile-ak-snc4/186297_1258303204_8142627_q.jpg" /></a></span><br />
<div class="commentContent UIImageBlock_Content UIImageBlock_SMALL_Content" ft="{"type":33}">
<span style="font-size: 100%;"><span jsid="text"><br />2. Physical stimuli หรือ physical environment ที่เป็นตัวกระตุ้นในช่วงที่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>เรานอนหลับ เช่น แสงฟ้าแลบ เสียงฟ้าร้อง หนาวเกินไป ร้อนเกินไป ฯลฯ</span></span><br />
<div class="commentActions fsm fwn fcg">
<span style="font-size: 100%;"><abbr date="Sat, 04 Jun 2011 00:52:51 -0700" title="Saturday, 04 June 2011 at 14:52"></abbr><span class="comment_like_2987680 fsm fwn fcg" ft="{"type":36}"><a class="uiTooltip comment_like_button" href="http://www.facebook.com/browse/?type=likes&id=209363412435229" rel="dialog"><br /></a></span></span></div>
</div>
</div>
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock" style="color: #666666;">
<span style="font-size: 100%;"><a class="actorPic UIImageBlock_Image UIImageBlock_SMALL_Image" ft="{"type":34}" href="http://www.facebook.com/kroosom" tabindex="-1"><img alt="" class="uiProfilePhoto uiProfilePhotoMedium img" src="http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile-ak-snc4/186297_1258303204_8142627_q.jpg" /></a><label class="deleteAction stat_elem UIImageBlock_Ext uiCloseButton" for="u236874_3"></label></span><br />
<div class="commentContent UIImageBlock_Content UIImageBlock_SMALL_Content" ft="{"type":33}">
<span style="font-size: 100%;"><br /><span jsid="text"></span></span>
<br />
<div class="text_exposed_root text_exposed" id="id_4df01fa0c3dd25c00494974">
<span style="font-size: 100%;"><span jsid="text">3. Psychical stimuli (psychical occurrences in the environment are perceived be the unconscious) หัวข้อนี้ค่อนข้างซับซ้อน เป็นปรากฏการณ์ที่จิตไร้สำน<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ึกถูกกระตุ้นด้วยสัญญาณบางอ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ย่าง ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมทั้งสถ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>านที่ และสิ่งแวดล้อมของจิต เข<span class="text_exposed_show">ายกตัวอย่างเช่น มีแขกมานอนค้างคืนที่บ้าน แล้วแขกคนนี้ก็ฝันถึงเรื่อง<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ราวปมปัญหาของคนในบ้านหลังน<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ั้น ทั้งๆที่ไม่รู้จักกันมาก่อน<wbr></wbr><span class="word_break"></span> ยุงอธิบายถึงพลังงานบางอย่า<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ง(ปมปัญหา)ที่ฟุ้งกระจายออก<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ไปในสิ่งแวดล้อมโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว .. เขาเรียกข้อมูลประเภทนี้ว่า<wbr></wbr><span class="word_break"></span>เป็นข้อมูลที่ลักลอบเข้ามาใ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>นความฝัน<br /><br />[แปล: มันเป็นเรื่องที่เราไม่น่าจ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ะไปรับรู้ แต่เราก็รับรู้มันจนได้ ราวกับว่าจมูกของเรายื่นทะลุกำแพงเข้าไป และสูดดมข้อมูลที่ล่องลอยอยู่ในบรรยากาศโดยที่เราไม่ได้เจตนาเลย]</span></span></span></div>
<br />
<div class="commentActions fsm fwn fcg">
<span style="font-size: 100%;"><abbr date="Sat, 04 Jun 2011 01:05:52 -0700" title="Saturday, 04 June 2011 at 15:05"></abbr><span class="comment_like_2987705 fsm fwn fcg" ft="{"type":36}"><a class="uiTooltip comment_like_button" href="http://www.facebook.com/browse/?type=likes&id=209365182435052" rel="dialog"><br /></a></span></span></div>
</div>
</div>
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock" style="color: #666666;">
<span style="font-size: 100%;"><a class="actorPic UIImageBlock_Image UIImageBlock_SMALL_Image" ft="{"type":34}" href="http://www.facebook.com/kroosom" tabindex="-1"><img alt="" class="uiProfilePhoto uiProfilePhotoMedium img" src="http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile-ak-snc4/186297_1258303204_8142627_q.jpg" /></a><label class="deleteAction stat_elem UIImageBlock_Ext uiCloseButton" for="u236874_4"></label></span><br />
<div class="commentContent UIImageBlock_Content UIImageBlock_SMALL_Content" ft="{"type":33}">
<span style="font-size: 100%;"><br /><span jsid="text"></span></span>
<br />
<div class="text_exposed_root text_exposed" id="id_4df01fa0c44cb2e24068742">
<span style="font-size: 100%;"><span jsid="text">4. Past events : อดีตในที่นี้ไม่ใช่เพียงแค่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>เรื่องที่ผ่านไปเมื่อเช้า เมื่อวาน หรือปีที่แล้ว แต่หมายถึงร่องรอยความทรงจำ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ทั้งที่จำได้ ลืมไปแล้วแต่รู้ว่าลืม และลืมไปและไม่รู้ว่าลืม (ยุงเรียกว่าเป็นข้อมูลที่ข<wbr></wbr><span class="word_break"></span>าดการติดต่อกับจิตสำนึก) รวมไปถึงอดี<span class="text_exposed_show">ตที่เป็นผลพวงจากการพิมพ์ซ้<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ำของแบบแผนทางจิตที่เป็นสาก<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ล (collective psyche) .. มีตัวอย่างการฝันว่าละเมอพู<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ดภาษาแปลกๆที่เจ้าตัวไม่รู้<wbr></wbr><span class="word_break"></span>จัก แต่บังเอิญว่าคนที่ได้ยินรู้ว่าคนที่กำลังนอนละเมอนั้น<wbr></wbr><span class="word_break"></span>พูดภาษาอะไร</span></span></span></div>
<br />
<div class="commentActions fsm fwn fcg">
<span style="font-size: 100%;"><abbr date="Sat, 04 Jun 2011 01:18:12 -0700" title="Saturday, 04 June 2011 at 15:18"></abbr><span class="comment_like_2987748 fsm fwn fcg" ft="{"type":36}"><a class="uiTooltip comment_like_button" href="http://www.facebook.com/browse/?type=likes&id=209366825768221" rel="dialog"><br /></a></span></span></div>
</div>
</div>
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock" style="color: #666666;">
<span style="font-size: 100%;"><a class="actorPic UIImageBlock_Image UIImageBlock_SMALL_Image" ft="{"type":34}" href="http://www.facebook.com/kroosom" tabindex="-1"><img alt="" class="uiProfilePhoto uiProfilePhotoMedium img" src="http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile-ak-snc4/186297_1258303204_8142627_q.jpg" /></a></span><br />
<div class="commentContent UIImageBlock_Content UIImageBlock_SMALL_Content" ft="{"type":33}">
<span style="font-size: 100%;"><span jsid="text"><br />5 . Future events : อันนี้เป็นฝันเปลี่ยนวิถี</span></span></div>
</div>
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock" style="color: #666666;">
<span style="font-size: 100%;"><a class="actorPic UIImageBlock_Image UIImageBlock_SMALL_Image" ft="{"type":34}" href="http://www.facebook.com/duckymagic" tabindex="-1"><img alt="" class="uiProfilePhoto uiProfilePhotoMedium img" src="http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile-ak-snc4/186485_688021055_1375482_q.jpg" /></a></span><br />
<div class="commentContent UIImageBlock_Content UIImageBlock_SMALL_Content" ft="{"type":33}">
......<br />
<br />
Note แปะไว้<br />
<br /></div>
</div>
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock" style="color: #666666;">
<div class="commentContent UIImageBlock_Content UIImageBlock_SMALL_Content" ft="{"type":33}">
<span style="font-size: 100%;"><span jsid="text"></span></span><br />
<div class="text_exposed_root text_exposed" id="id_4df01fa0c623e1b09301088">
<span style="font-size: 100%;"><span jsid="text">เคยอ่านเจอบทสัมภาษณ์หนึ่งข<wbr></wbr><span class="word_break"></span>องปู่ยุง(นานแล้วหาต้นตอไม่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>เจอ) บอกว่าการศึกษาวิทยาการ(ใ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>นยุคของแก) นักวิชาการให้คุณค่ากับจิตสำนึกมากไปโดยถือว่า จิตสำนึก(conscious) เป็นเรื่องที่มีสาระ (make sense) และไม่ค่อยให้คุณค่ากับจิตไร้สำ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>นึก (unconscious) เพ<span class="text_exposed_show">ราะจิตไร้สำนึกทำงานอย่างคลุมเครือ ทำให้นักวิชาการมองข้ามเรื่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>องจิตไร้สำนึกไปและมองว่าเป<wbr></wbr><span class="word_break"></span>็นเรื่องไร้สาระ (nonsense) .. แต่กระนั้นคาร์ลยุงก็มุ่งมั่นค้นคว้าและศึกษาเรื่อง"เห<wbr></wbr><span class="word_break"></span>นือสาระ"ของแกต่อไป</span></span></span></div>
<br />
<div class="commentActions fsm fwn fcg">
<span style="font-size: 100%;"><abbr date="Tue, 07 Jun 2011 06:06:42 -0700" title="Tuesday, 07 June 2011 at 20:06"></abbr><br /></span></div>
</div>
</div>
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock" style="color: #666666;">
<span style="font-size: 100%;"><a class="actorPic UIImageBlock_Image UIImageBlock_SMALL_Image" ft="{"type":34}" href="http://www.facebook.com/kroosom" tabindex="-1"><img alt="" class="uiProfilePhoto uiProfilePhotoMedium img" src="http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile-ak-snc4/186297_1258303204_8142627_q.jpg" /></a><label class="deleteAction stat_elem UIImageBlock_Ext uiCloseButton" for="u236876_13"></label></span><br />
<div class="commentContent UIImageBlock_Content UIImageBlock_SMALL_Content" ft="{"type":33}">
<span style="font-size: 100%;"><br /><span jsid="text">ภายหลังประโยคนี้ของปู่แกได้กลายเป็นประโยคยอดนิยมของส<wbr></wbr><span class="word_break"></span>านุศิษย์จิตวิทยายุงเกี้ยน ..."The pendulum of the mind oscillates between sense and nonsense, not between right and wrong." (จากหนังสือ Memories, Dreams, Reflections)</span></span><br />
<div class="commentActions fsm fwn fcg">
<span style="font-size: 100%;"><abbr date="Tue, 07 Jun 2011 06:07:13 -0700" title="Tuesday, 07 June 2011 at 20:07"></abbr><span class="comment_like_3001230 fsm fwn fcg" ft="{"type":36}"><a class="uiTooltip comment_like_button" href="http://www.facebook.com/browse/?type=likes&id=210091189029118" rel="dialog"><br /></a></span></span></div>
</div>
</div>
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock" style="color: #666666;">
<span style="font-size: 100%;"><a class="actorPic UIImageBlock_Image UIImageBlock_SMALL_Image" ft="{"type":34}" href="http://www.facebook.com/kroosom" tabindex="-1"><img alt="" class="uiProfilePhoto uiProfilePhotoMedium img" src="http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile-ak-snc4/186297_1258303204_8142627_q.jpg" /></a><label class="deleteAction stat_elem UIImageBlock_Ext uiCloseButton" for="u236877_14"></label></span><br />
<div class="commentContent UIImageBlock_Content UIImageBlock_SMALL_Content" ft="{"type":33}">
<span style="font-size: 100%;"><br /><span jsid="text">เหตุผลที่นักมนุษยนิยมทางเลือกเป็นศิษย์สายยุงเกี้ยนกั<wbr></wbr><span class="word_break"></span>นเยอะ เพราะแนวคิดของคาร์ลยุง เป็นแนวคิดที่ไม่นิยมตัดสิ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>นแบบถูก-ผิด หรือแบบขาวจัด-ดำจัด ยุงอธิบายไว้หลายแห่งเกี่ยว<wbr></wbr><span class="word_break"></span>กับเรื่องสัญลักษณ์วงกลมหยิ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>นหยางซึ่งอ้างอิงจากตำราอี้<wbr></wbr><span class="word_break"></span>จิงของจีน (กระทั่งปู่แกมีตราสัญลักษณ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>์ส่วนตัวเป็นรูปหยินหยางกะเ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ขาด้วย)</span></span><br />
<div class="commentActions fsm fwn fcg">
<span style="font-size: 100%;"><abbr date="Tue, 07 Jun 2011 06:11:25 -0700" title="Tuesday, 07 June 2011 at 20:11"></abbr><span class="comment_like_3001256 fsm fwn fcg" ft="{"type":36}"><a class="uiTooltip comment_like_button" href="http://www.facebook.com/browse/?type=likes&id=210091952362375" rel="dialog"><br /></a></span></span></div>
</div>
</div>
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock" style="color: #666666;">
<span style="font-size: 100%;"><a class="actorPic UIImageBlock_Image UIImageBlock_SMALL_Image" ft="{"type":34}" href="http://www.facebook.com/pkasemwananimit" tabindex="-1"><img alt="" class="uiProfilePhoto uiProfilePhotoMedium img" src="http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile-ak-snc4/174426_1806141196_5172792_q.jpg" /></a></span><br />
<div class="commentContent UIImageBlock_Content UIImageBlock_SMALL_Content" ft="{"type":33}">
<br />
<div class="commentActions fsm fwn fcg">
<span style="font-size: 100%;"><abbr date="Tue, 07 Jun 2011 06:51:26 -0700" title="Tuesday, 07 June 2011 at 20:51"></abbr><br /></span></div>
</div>
</div>
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock" style="color: #666666;">
<span style="font-size: 100%;"><a class="actorPic UIImageBlock_Image UIImageBlock_SMALL_Image" ft="{"type":34}" href="http://www.facebook.com/kroosom" tabindex="-1"><img alt="" class="uiProfilePhoto uiProfilePhotoMedium img" src="http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile-ak-snc4/186297_1258303204_8142627_q.jpg" /></a></span><br />
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock">
<span style="font-size: 100%;"><span jsid="text"></span></span><br />
<div class="text_exposed_root" id="id_4df01fa0c7c9d0e76771280">
<span style="font-size: 100%;"><span jsid="text"><span jsid="text">ในวงกลมหยินหยาง (อันที่จริง<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ต้องเรียกว่าวงกลมไท่จี๋..ป<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ล.ไท่จี๋ไม่ได้แปลว่ามวยจีน<wbr></wbr><span class="word_break"></span>แต่เป็นปรัชญาการใช้ชีวิต) ในสีขาวและสีดำของวงจรหยินห<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ยางนั้น เป็นธรรมชาติแห่งทวิภาวะ หรือกฏของสิ่งคู่ตรงข้าม ซึ่งเป็นข้อหนึ่งของกฏธรรมช<wbr></wbr><span class="word_break"></span>าติ แต่กฏของสิ่งคู่ตรงข้า<span class="text_exposed_show">มดำเนินคู่ไปกับกฏอีกกฏหนึ่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>งคือกฏแห่งความเปลี่ยนแปลงห<wbr></wbr><span class="word_break"></span>รือการหมุนเวียนแทนที่ ดังนั้น หยิน(ส่วนสีดำ)ก็จะแปรเปลี่<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ยนมาเป็นหยาง(ส่วนสีขาว)เมื่อ ถึงเวลาที่เหมาะสม ดังเช่น กลางคืนและกลางวัน ..<br /><br />ด้วยกฏธรรมชาตินี้ คาร์ลยุงกล่าวว่า ที่เขาพูดว่า ลูกตุ้ม(เพนดูลัม)ของจิต แกว่งไปมาระหว่างขั้วสองข้า<wbr></wbr><span class="word_break"></span>งตลอดเวลา (เหมือนลูกตุ้มนาฬิกาที่มีช<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ีวิต) ด้านหนึ่งคือ จิตสำนึก อีกด้านคือ จิตไร้สำนึก ไม่ว่าเราจะสำเหนียกรู้ตัวห<wbr></wbr><span class="word_break"></span>รือไม่ก็ตาม ลูกตุ้มชีวิตนี้ก็แกว่งของม<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ันไปอย่างนี้แหละ และสองขั้วนี้ก็ไม่ได้เกี่ย<wbr></wbr><span class="word_break"></span>วกับว่าเรื่องผิดถูก ชั่วดี ควรไม่ควร ...<br /><br />คาร์ลยุงให้แง่คิดในการมองเ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>รื่อง"บาปและความชั่วร้าย"แ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ตกต่างไปจากความเชื่อทางศาส<wbr></wbr><span class="word_break"></span>นา เขามองว่าจิตใจที่มีสุขภาพส<wbr></wbr><span class="word_break"></span>มบูรณ์ คือการเผยออกอย่างสมดุลของทั้งจิตสำนึกและจิตไร้สำนึก .....<br /><br />(เรื่องนี้อธิบายต่อได้ว่า ทำไมดร.สโตนจึงสานต่อเป็นวิ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>ชาว๊อยซ์ไดอะล็อก ที่ให้กลับมาตระหนักถึงความ<wbr></wbr><span class="word_break"></span>สมดุลของตัวตนสองด้าน.. Voice Dailogue : The Psychology of Selves )</span></span><span style="font-size: 100%;"><a class="actorPic UIImageBlock_Image UIImageBlock_SMALL_Image" ft="{"type":34}" href="http://www.facebook.com/pkasemwananimit" tabindex="-1"><img alt="" class="uiProfilePhoto uiProfilePhotoMedium img" src="http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile-ak-snc4/174426_1806141196_5172792_q.jpg" /></a></span></span></span><br />
<span style="font-size: 100%;"><span jsid="text"><span class="text_exposed_hide"><span class="text_exposed_link"><a href="https://www.blogger.com/null"></a></span></span></span></span></div>
<span style="font-size: 100%;"><a class="actorPic UIImageBlock_Image UIImageBlock_SMALL_Image" ft="{"type":34}" href="http://www.facebook.com/pkasemwananimit" tabindex="-1"></a></span><br />
<div class="commentContent UIImageBlock_Content UIImageBlock_SMALL_Content" ft="{"type":33}">
<br />
<div class="commentActions fsm fwn fcg">
<br /></div>
</div>
</div>
</div>
<div class="UIImageBlock clearfix uiUfiActorBlock" style="color: #666666;">
<div class="commentContent UIImageBlock_Content UIImageBlock_SMALL_Content" ft="{"type":33}">
<div class="commentActions fsm fwn fcg">
<br />
.................................................<br />
<br />
ตามไปคุยกันต่อได้ที่เพจนี้นะ<br />
<span style="color: rgb(102 , 102 , 102); font-size: 100%;"><a href="http://www.facebook.com/pages/%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B9%88-%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B5-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%99-Decoding-Symbols-in-Arts-Dream-and-Tarot/197288093642761">ถอดรหัสภาพ ไพ่ บทกวี และความฝัน : Decoding Symbols in Arts, Dream and Tarot</a></span><br />
<br />
<br /></div>
</div>
</div>
Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-67273251063490855712011-05-29T08:34:00.000-07:002011-05-29T09:15:14.761-07:00"Siddhartha" film[1972]<span style="color: rgb(153, 153, 153);">a novel by <a style="color: rgb(153, 153, 153);" href="http://en.wikipedia.org/wiki/Siddhartha_%28novel%29">Hermann Hesse</a></span><br /><br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/XSsO7d9tOSE?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br /><br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/u_WxC_GXR9c?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br /><br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/bkAZo8OAFsg?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br /><br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/oYJseGRg5zg?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br /><br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/wOfc1mEXgIQ?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><span style="color: rgb(153, 153, 153);"></span><br /><br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/2CJSaLlIVbY?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br /><br /><span style="color: rgb(153, 153, 153);">When someone is seeking,” said Siddartha,<br />“It happens quite easily that he only sees the thing that he is seeking;<br />that he is unable to find anything,<br />unable to absorb anything,<br />because he is only thinking of the thing he is seeking,<br />because he has a goal,<br />because he is obsessed with his goal.<br />Seeking means: to have a goal;<br />but finding means: to be free, to be receptive, to have no goal.<br />You, O worthy one, are perhaps indeed a seeker,<br />for in striving towards your goal,<br />you do not see many things that are under your nose."</span><br /><br /><span style="color: rgb(153, 153, 153);">— Hermann Hesse </span><br /><br /><br /><span style="color: rgb(192, 192, 192);">[thanks </span><a style="color: rgb(192, 192, 192);" class="author" rel="author" href="http://www.youtube.com/user/budismoylotus">@budismoylotus</a><span style="color: rgb(192, 192, 192);"> for uploading the film onto YouTube]</span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-73883843157658314082011-05-26T22:42:00.000-07:002020-01-24T01:49:51.103-08:00บทฝันจากยุคกลาง : Medieval Dream<span style="color: #666666;">27.5.2011<br /><br />เกิดเหตุพ้องพานขึ้นอย่างไม่บังเอิญทุกวันในชีิวิต </span> <span style="color: #666666;"><br />เมื่อเช้าอ่านตัวอย่างความฝันในบทเรียนบทหนึ่งของอาจารย์ปู่คาร์ลยุง</span> <span style="color: #666666;"><br />ใจไปสะดุดกับชื่อ Leipzig ซึ่งเป็นชื่อเมืองๆหนึ่งในเยอรมัน </span> <span style="color: #666666;"><br />พอตอนเย็นเพื่อนในกลุ่มดนตรียุโรปแบ่งปันวีดีโอนี้เข้ามา</span> <span style="color: #666666;"><br />ทำให้ได้รู้จักกับกวียุคกลาง</span><span style="color: #666666;">ซึ่งชื่อของเขาเกี่ยวข้องกับชื่อเมืองที่เราอ่านเมื่อเช้า</span><br />
<span style="color: #666666;">แม้จะไม่ใช่ความเกี่ยวข้องที่สำหลักสำคัญอะไร</span><br />
<span style="color: #666666;">แต่นั่นก็เป็นด้ายเส้นเล็กๆซึ่งโยงให้เรามาสนใจชื่ออีกสองชื่อของสองยุคสมัย</span> <span style="color: #666666;"><br />ชื่อหนึ่งเป็นกวียุคกลาง </span><span style="color: #666666;"> Heinrich von Morungen </span><br />
<span style="color: #666666;">อีกชื่อเป็นกลุ่มนักดนตรีชื่อวง Qntal </span> <span style="color: #666666;"><br />พวกเขาเรียกตัวเองว่าเป็นนักดนตรีแนว Electro-Medieval </span> <span style="color: #666666;"><br />แถมฉากเริ่มในภาพเพลงชุดนี้ก็ช่างประจวบเหมาะกับที่เราเพิ่งพูดถึงชื่อแม่นางในภาพกับน้องซึ่งเป็นนักอ่านไพ่ทาโรต์เมื่อเช้านี้พอดี</span><span style="color: #666666;"><br />ตอนนี้เลยมีประเด็นที่ร้อยพันกันอยู่สามสี่เรื่อง<br />บทกวี ดนตรี Mythopoetry และ Symbolism เอาเรื่องไหนก่อนดี </span> <span style="color: #666666;"><br />อืม.. ฟังเพลงและดูภาพก่อนแล้วกัน</span><b><span style="font-family: "verdana" , "arial" , "helvetica" , sans-serif; font-size: 85%;"><b></b></span></b> <iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/4TnV-Kj_32Y?fs=1" style="color: #666666;" width="425"></iframe> <span style="color: #666666;"><br /><br />เพลงนี้ร้องจากบทกวีร้องบทหนึ่งของ Heinrich of Morungen</span> <span style="color: #666666;">ซึ่งเป็นกวียุคกลาง ช่วงชีวิตของเขาอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1155-1222</span> <span style="color: #666666;">นักร้องวงควันไทล์ Qntal เป็นหนึ่งในวงโปรดของเรา</span><br />
<span style="color: #666666;">เมื่อฟังเพลงทุกครั้งก็อยากรู้ว่าบทเพลงเขาต้องการจะสื่ออะไร</span><span style="color: #666666;"><br />พยายามค้นดูว่าจะมีใครสักคนแปลบทกวีบทนี้เป็นภาษาอังกฤษไหม</span> <span style="color: #666666;"><br />ในที่สุดก็พบว่ามีนักแต่งเพลงชื่อ </span><i style="color: #666666;">Henrik W. Gade</i><span style="color: #666666;"> ได้แปลไว้</span><br />
<span style="color: #666666;">(ต้นฉบับตาม<a href="http://lyrics.wikia.com/Qntal:Von_Den_Elben" style="color: #993300;"> </a></span><a href="http://lyrics.wikia.com/Qntal:Von_Den_Elben" style="color: #993300;">Link</a><span style="color: #666666;"><a href="http://lyrics.wikia.com/Qntal:Von_Den_Elben" style="color: #993300;"> </a>นี้ เขาเปิดให้เราเข้าไปแก้ไขการแปลได้ด้วย </span> <span style="color: #666666;"><br />อืม..ก็ไม่แน่ใจว่าอ่านบทแปลจะได้อารมณ์เหมือนต้นฉบับของกวีหรือเปล่า</span> <span style="color: #666666;"><br />แต่อย่างน้อยก็เป็นสะพานไม้เล็กๆทอดให้เราเดินเข้าไปในตำนานละนะ)</span><br />
<span style="color: #666666;"></span><br />
<b style="color: #996633;">Von den elben</b><span style="color: #996633;"> (By the Elves) </span><br />
<br />
<span style="color: #996633;">I. </span> <span style="color: #996633;"><br />By the elves many a man was enchanted,</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />So was I enchanted by strong love</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />By the best woman a man has ever befriended.</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />But will she for that reason hate me,</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />And stand up against me,</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">Willing to take her revenge on me</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />In doing what I ask of her;<br />then she will make me so happy,</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />That my life will perish with joy.</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br /><br />II. <br />She rules and is in the heart of mine,</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">Lady and mightier than I am myself,</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />Hey, if I ever could have that much power over her</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />That she stayed faithfully by my side</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />For three whole days</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />And some nights</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">Then I would not loose the life and all the power,</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />Yes, she is unfortunately much too independent of me.</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br /><br />III.<br /> I am inflamed by the light of her eyes so bright,</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />As the fire does to the dry tinder,</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />And her treating me like a stranger offends the heart of mine,</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />Like the water the glowing embers,</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">And her high spirit</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">And her beauty and her dignity</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">And the wonders, they tell of her good deeds</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />That is bad luck to me - or maybe good.</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">IV.<br /> When her bright eyes turn to me in a way</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">That all through my heart she sees,</span><span style="color: #996633;"> </span><span style="color: #996633;"><br />Who would dare go in between and trouble me,</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">He must have all the joy of his totally destroyed,</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">I must stand in front of her,</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">And await my delight,</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">Just as the little bird (awaits) the light of dawn.</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;">When will I ever achieve such happiness?</span><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="color: #996633;"><span style="color: #666666;">อ่านสำนวนแปลเป็นภาษาอังกฤษนี้แล้ว</span><br /><span style="color: #666666;">ยังรู้สึกกระท่อนกระแท่นในอารมณ์</span><br /><span style="color: #666666;">ราวกับว่ายังเข้าไปไม่ถึงห้องส่วนตัวของผู้ประพันธ์</span><br /><span style="color: #666666;">ถ้าอย่างนั้น ลองร้องตามนักร้องดีกว่า </span><br /><span style="color: #666666;">ด้วยภาษาที่เราไม่คุ้นเคย<br />เผื่อว่าเสียงในอากาศจะนำพาเราให้ข้ามห้วงเวลาและความคิด</span></span><b style="color: #996633;"><br />Von den elben</b><span style="color: #996633;"><br />1</span><br />
<span style="color: #996633;"> Von den elben wirt entsehen vil manic man,</span><br />
<span style="color: #996633;"> sô bin ich von grôzer liebe entsên</span><br />
<span style="color: #996633;"> von der besten, die ie dehein man ze vriunt gewan.</span><br />
<span style="color: #996633;"> wil aber sî der umbe mich </span><i style="color: #996633;">vên</i><br />
<span style="color: #996633;"> Und ze unstaten stên,</span><br />
<span style="color: #996633;"> mac si danne rechen sich</span><br />
<span style="color: #996633;"> und tuo, des ich si bite. sô vreut si sô sêre mich,</span><br />
<span style="color: #996633;"> daz mîn lîp vor wunnen muoz zergên.</span><br />
<span style="color: #996633;"> 2</span><br />
<span style="color: #996633;"> Sî gebiutet und ist in dem herzen mîn</span><br />
<span style="color: #996633;"> vrowe und hêrer, danne ich selbe sî.</span><br />
<span style="color: #996633;"> hei wan muoste ich ir alsô gewaltic sîn,</span><br />
<span style="color: #996633;"> daz </span><i style="color: #996633;">si </i><span style="color: #996633;">mir mit triuwen waere bî</span><br />
<span style="color: #996633;"> Ganzer tage drî</span><br />
<span style="color: #996633;"> unde eteslîche na</span><i style="color: #996633;">ht</i><span style="color: #996633;">!</span><br />
<span style="color: #996633;"> sô verlür ich niht den lîp und al die maht.</span><br />
<span style="color: #996633;"> jâ ist si leider vor mir alze vrî.</span><br />
<span style="color: #996633;"> 3</span><br />
<span style="color: #996633;"> Mich enzündet ir vil liehter ougen schîn,</span><br />
<span style="color: #996633;"> same daz viur den durren zunder tuot,</span><br />
<span style="color: #996633;"> und ir vremeden krenke</span><i style="color: #996633;">t</i><span style="color: #996633;"> mir daz herze mîn</span><br />
<span style="color: #996633;"> same daz wazzer die vil heize gluot.</span><br />
<span style="color: #996633;"> Und ir hôher muot</span><br />
<span style="color: #996633;"> und ir schoene und ir werdecheit</span><br />
<span style="color: #996633;"> und daz wunder, daz man von ir tugenden seit,</span><br />
<span style="color: #996633;"> daz wirt mir vil übel -- oder lîhte guot?</span><br />
<span style="color: #996633;"> 4</span><br />
<span style="color: #996633;"> Swenne ir liehten ougen sô verkêrent sich,</span><br />
<span style="color: #996633;"> daz si mir aldur mîn herze sê</span><i style="color: #996633;">n</i><span style="color: #996633;">,</span><br />
<span style="color: #996633;"> swer dâ enzwischen danne gêt und irret mich,</span><br />
<span style="color: #996633;"> dem muoze al sîn wunne gar zergên!</span><br />
<span style="color: #996633;"> Ich muoz vor ir stên</span><br />
<span style="color: #996633;"> unde war</span><i style="color: #996633;">t</i><span style="color: #996633;">en der vröiden mîn</span><br />
<span style="color: #996633;"> rehte alsô des tages diu kleinen vogellîn.</span><br />
<span style="color: #996633;"> wenne sol mir iemer liep geschên?</span><br />
<br />
<span style="color: #666666;"></span><span style="color: #999999;">ขอขอบคุณศิลปินและครูอาจารย์ทั้งหลาย</span><br />
<span style="color: #999999;">ผู้ซึ่งกาลเวลาไม่สามารถพรากพวกท่านไปจากความงาม</span> <span style="color: #999999;"><br /><br />ขอคารวะด้วยลมหายใจ<br />ครูแม่ส้ม </span><br />
<br />
<br />
<span style="color: #663300;"> </span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-76561496620259338002011-05-24T08:22:00.000-07:002020-01-24T01:49:17.462-08:00ดูภาพเคลื่อนไหวของจิตที่เผยออก แต่ถูกเรียกกลับ<span style="color: rgb(102 , 102 , 102);">วันนี้ครูแม่ส้มมาชวนดู Animation นิทานพื้นบ้านของรัสเซียเรื่องหนึ่ง เค้าโครงเรื่องเป็นศิลปะเชิงสัญลักษณ์ (Symbolism) ซึ่งสามารถดูได้ทั้งแบบไม่ถอดรหัส คือดูไปตามท้องเรื่องตรงๆ หรือจะดูแบบถอดรหัสสัญลักษณ์ในเชิงจิตวิทยา(Jungian psychology)ก็ได้ เช่น ฉากเด็กสาวเอาเท้าแช่ลงไปในน้ำก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่ง เสื้อผ้าของเด็กสาวหายไปก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่ง เป็นต้น อะนิเมชั่นเรื่องนี้มีระบบสัญลักษณ์แทรกอยู่ตลอดเรื่อง </span><br />
<br />
<span style="color: rgb(102 , 102 , 102);">ในตอนท้ายที่ดูเหมือนว่าตัวละครตัวแม่และตัวยายจะดูโหดร้ายและรุนแรง แต่ความรุนแรงทั้งหมดนั้นก็เป็นไปในเชิงสัญลักษณ์ ตั้งแต่การฆ่าตัดหัวมังกร หัวและเลือดมังกรจมลงไปในน้ำ การที่หญิงสาวยกลูกชายคนเล็กขึ้นทุ่ม หัวลูกโหม่งกับพื้นแล้วลูกกลายเป็นกุ้งมังกรคืบคลานกลับลงไปใต้ทะเลลึก หรือการโยนลูกสาวขึ้นท้องฟ้าแล้วลูกกลายเป็นนกบินหนีไป จนถึงฉากที่ตัวหญิงสาวเองกลับไปสระผมที่หนองน้ำ แล้วกลายร่างเป็นนกสีดำบินไปรวมฝูงกับนกอื่นๆ(ที่มีชะตากรรมเดียวกัน) ทุกฉากทุกตอนสามารถอ่านเป็นสัญลักษณ์ได้หมด แม้แต่ฉากจบของเรื่องก็คือฉากตอนเริ่มเรื่อง เป็นสัญลักษณ์วงจรฉายซ้ำของแบบแผนพฤติกรรมในระดับจิตไร้สำนึก</span> <span style="color: rgb(102 , 102 , 102);"> (archetypal repetitions)</span><br />
<br />
<span style="color: rgb(102 , 102 , 102);">การถอดรหัสสัญลักษณ์นั้น คาร์ล ยุง ซึ่งเปรียบเสมือนอาจารย์ปู่ของจิตวิทยาสายนี้ บอกว่าไม่มีรหัสใดรหัสหนึ่งที่ถูกต้องที่สุด คนแต่ละคนมีมุมมอง มุมคิด มุมรู้สึก และมุมสัมผัสต่อสัญลักษณ์แต่ละสัญลักษณ์แตกต่างกัน หรือถ้าคล้ายกันก็มีระดับความเข้มข้นในแต่ละจุดต่างกัน ดังนั้นการแปลสัญลักษณ์ในเชิงบำบัด นักถอดรหัสสัญลักษณ์ทำหน้าที่เป็นเพียงพจนานุกรม แต่ผู้อ่านและผู้ที่ต้องทำความเข้าใจ คือตัวปัจเจกบุคคลเอง</span><br />
<br />
<span style="color: rgb(102 , 102 , 102);">เอาละ มาดูหนังกันดีกว่าค่ะ หนังจบแล้วค่อยตั้งวงแชร์รหัสกัน<br />.. ข้าวโพดคั่ว พร้อม! </span><br />
<br />
<span style="color: rgb(192 , 192 , 192);">ตอนที่ 1</span><br />
<span style="color: rgb(192 , 192 , 192);"><br /></span>
<span style="color: #b00119;">https://www.youtube.com/embed/jdEyqvBW9fI?fs=1%22%20width=%22425%22</span><br />
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/jdEyqvBW9fI?fs=1" width="425"></iframe><br />
<br />
<span style="color: rgb(192 , 192 , 192);">ตอนที่ 2</span><br />
<span style="color: rgb(192 , 192 , 192);"><br /></span>
<span style="color: rgb(192 , 192 , 192);"><span style="background-color: #ffcccc; color: #cc0000; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: 13px;">http://www.youtube.com/embed/IL2oiIPI1sE?fs=1" width="425</span></span><br />
<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/IL2oiIPI1sE?fs=1" width="425"></iframe>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-36146479689367096172011-05-22T11:13:00.000-07:002011-05-22T11:39:55.854-07:00ฟังบรรยาย "ปัญญาแห่งความฝัน"<span style="color: rgb(102, 102, 102);">Dr. Pierre Grimes' reflections that the life of man is indeed rational,</span><br /><span style="color: rgb(102, 102, 102);"> and that the structure behind dreams, fantasies, and apparently random</span><br /><span style="color: rgb(102, 102, 102);"> thoughts is intelligible</span><br /><br /><br />The Wisdom of Dreams<br /><span style="color: rgb(153, 153, 153);">1/10</span><br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/3AF6iqDXmic?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><span style="color: rgb(102, 102, 102);"><br />2/10<br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/SHTiPYsl6-Y?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br />3/10<br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/osqSYA9xeKQ?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br />4/10<br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/6nGxf9geK8Q?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br />5/10<br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/zIWky6V8Mr4?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br />6/10<br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/hs7L-iTn9QU?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br />7/10<br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/d1qLl8u80C8?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br />8/10<br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/TUreJC84X44?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br />9/10<br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/uP4PWe9mQxw?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br />10/10<br /><iframe src="http://www.youtube.com/embed/_aAaxyRaAWA?fs=1" allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" width="425"></iframe><br /><br /></span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-77084302052709400642011-05-16T02:06:00.001-07:002020-01-24T01:45:33.500-08:00โอ้ แม่กุหลาบโรย<a href="http://3.bp.blogspot.com/-1wnGZQJMAXQ/TdDpfIscVMI/AAAAAAAAAMQ/9-jWA_vCi6c/s1600/227051_205071899531047_197288093642761_513039_2486108_n.jpg" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5607238257195373762" src="https://3.bp.blogspot.com/-1wnGZQJMAXQ/TdDpfIscVMI/AAAAAAAAAMQ/9-jWA_vCi6c/s400/227051_205071899531047_197288093642761_513039_2486108_n.jpg" style="cursor: hand; cursor: pointer; height: 400px; width: 258px;" /></a><br />
<span jsid="text" style="color: rgb(102 , 102 , 102);"><br />ค่ำคืนพายุหอน<br />เจ้าหนอนล่องหน<br />กระดึบไปในความ<span style="color: rgb(102 , 102 , 102);">มืด</span></span><span style="color: rgb(153 , 153 , 153);"><span style="color: rgb(102 , 102 , 102);"> </span><br /></span><span jsid="text" style="color: rgb(102 , 102 , 102);">ข้าเว้าวอน<br />เตียงร้อนเร่า<br />ปรารถนาลับ<br />ฤากลีบเจ้าร่วง<br /><br />โอ้ แม่กุหลาบโรย<br /><br />...............................<br /><br />The Sick Rose by William Blake<br />ครูแม่ส้ม - สมพร อมรรัตนเสรีกุล แปล<br /><br />5.16.11</span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-50267555675900361082011-04-24T10:17:00.000-07:002020-01-24T01:45:12.138-08:00ความฝันไม่เคยหลับ เพียงแค่จิตสำนึกไม่เปิดโอกาสให้เราได้ยิน<a href="http://3.bp.blogspot.com/-gTmp3I-3BVg/TbRlu__BPII/AAAAAAAAAMI/333xAWge1k4/s1600/goya_monsters.jpg" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5599212094852512898" src="https://3.bp.blogspot.com/-gTmp3I-3BVg/TbRlu__BPII/AAAAAAAAAMI/333xAWge1k4/s400/goya_monsters.jpg" style="cursor: pointer; height: 400px; width: 270px;" /></a><br />
<span style="color: rgb(153 , 153 , 153);">ภาพพิมพ์เอทชิ่งของ Francesco Goya </span><span style="color: rgb(153 , 153 , 153);">ศิลปินชาวสเปน </span><br />
<span style="color: rgb(153 , 153 , 153);"> ชื่อภาพ "The dream of reason produces monsters" ค.ศ. 1799</span><br />
<span style="color: rgb(153 , 153 , 153);"> </span><br />
<span style="color: rgb(102 , 102 , 102);"><br />คาร์ล ยุง มองความฝันต่างไปจากซิกมุนด์ ฟอรยด์ ตรงที่คาร์ลยุงไม่ได้มองว่าความฝันเป็นเรื่องของจิตปัจเจก (individual psyche) เท่านั้น แต่ความฝันมีสายใยที่มองไม่เห็นร้อยรัดพัลวันกันทั้งอนาคตกาล อดีตกาล และ ปัจจุบันกาลอย่างไม่เป็นเส้นตรงของจิตร่วมหรือจิตจักรวาล (collective psyche)</span> <span style="color: rgb(102 , 102 , 102);"><br /><br />ที่ว่าไม่เป็นเส้นตรงคือคำว่า"กาล"และ"เทศะ"เป็นมิติอิสระ การรับรู้ระดับจิตสำนึก(conscious)ของเราจะรับรู้ได้ในเชิงเส้นตรงเท่านั้น แต่จิตไร้สำนึก(unconscious)รับรู้ความเป็นอิสระของ time และ space ได้อย่างที่มันเป็น </span> <span style="color: rgb(102 , 102 , 102);"><br /><br />คาร์ล ยุง บรรยายในสัมนาเรื่องความฝันของวัยเยาว์ว่า "ความฝันเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ถ้าหากว่านักฟิสิกส์มองว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล คืออธิบายด้วยกฏแห่งเหตุและปัจจัยได้ ความฝันก็เช่นกัน ความฝันเป็นเหตุและปัจจัยของจิต เพียงแต่ว่าขอบแดนของจิตไร้สำนึกนั้นกว่้างใหญ่ไพศาลมาก จึงค่อนข้างจะพ้นวิสัยในการหาข้อสรุปให้ความคิดระดับจิตสำนึก(เชิงเหตุผล)เข้าใจ"</span><span style="color: rgb(102 , 102 , 102);"><br /><br />อย่างไรก็ตามจิตไร้สำนึกเป็นจิตซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และมันไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว แต่สาเหตุที่เราอ่านจิตไร้สำนึกไม่ออก ก็เพราะว่าในช่วงเวลาที่เราตื่นอยู่วันทั้งวัน จิตสำนึก(conscious)ของเรามันทำเสียงดังอึกทึกครึกโครมตลอดเวลา จนเราไม่สามารถได้ยินเสียงของจิตไร้สำนึก จนกว่าความง่วงจะคืบคลานเข้ามาในยามค่ำคืน จิตสำนึกจึงค่อยๆเงีบบเสียงลง เมื่อนั้นเสียงของจิตไร้สำนึกก็จะค่อยๆปรากฏขึ้นมาในความฝัน<br /><br /><br />ครูแม่ส้ม<br />4. 24. 2011<br /><br /><span style="color: rgb(102 , 102 , 102);">ไพ่ทาโรต์ประจำคืนนี้ คือ <span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">The Temperance </span> : ตัวเรานั้นเองคือเทพผู้ยืนอยู่ระหว่างพื้นดินและสายน้ำ เรายืนอยู่ระหว่างของแข็งและของเหลว เรายืนอยู่ระหว่างความร้อนและความเย็น เรายืนอยู่ระหว่างวัตถุธาตุและอากาศธาตุ ค่ำคืนนี้ขอให้ข้าพเจ้าได้ตื่นขึ้นในความฝัน เพื่อสัมผัสถึงประสบการณ์ของจิตที่ไม่แบ่งแยก ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจความบรรสานสอดคล้องแห่งเอกภาวะ </span><br /><br /><br />.....</span><em></em>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-56566512650135916112011-04-23T08:32:00.000-07:002020-01-24T01:44:14.434-08:00ช่วงวัยกับความฝัน<a href="http://2.bp.blogspot.com/-pfjI9GE4D7g/TbMBG4h1otI/AAAAAAAAAMA/m2IpriYATIc/s1600/Alastair-Magnaldo-art03.jpg" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5598819979516814034" src="https://2.bp.blogspot.com/-pfjI9GE4D7g/TbMBG4h1otI/AAAAAAAAAMA/m2IpriYATIc/s400/Alastair-Magnaldo-art03.jpg" style="cursor: pointer; height: 400px; width: 400px;" /></a><br />
<span style="color: rgb(153 , 153 , 153);">(photo of Dream Art by Alastair Magnaldo)</span><br />
<span style="color: rgb(102 , 102 , 102);"></span><br />
<br />
<span style="color: rgb(102 , 102 , 102);">บ่ายนี้ให้ต้องมาอ่านบท On the method of dream interpretation ในหนังสือเล่มหนาปึกชื่อ Children's Dream ที่รวบรวมเอาการบรรยายของศาสตราจารย์คาร์ล ยุง ในช่วงปี 1936-1940 ไว้ อันที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะอ่านเลย งานแปลและงานสอนก็มีหนังสือที่ต้องอ่านจนอ่านไม่ทันแล้ว แต่เมื่อเริ่มอ่านเล่มนี้ก็วางไม่ลง เลยต้องเลยตามเลย</span><br />
<br />
<span style="color: rgb(102 , 102 , 102);">ปู่ยุง(ใครอยากจะออกเสียงเรียกว่าจุงก็ไม่ว่ากัน)บอกว่าการศึกษาเรื่องความฝันของบุคคลนั้น ต้องย้อนไปทำงานกับความฝันในวัยเด็กด้วย มันอาจจะฟังดูยากที่จะให้ผู้ใหญ่อย่างเราๆย้อนกลับไประลึกถึงความฝันครั้งแรกในชีวิต ใครจะไปจำได้ ! ยุงพูดว่า "ฉันได้ถามเพื่อน ถามนักเรียน และคนไข้ของฉันว่า ความฝันที่พวกเขาจดจำได้ว่าเป็นฝันแรกนั้นเป็นฝันตอนอายุเท่าไหร่ หลายคนตอบว่าพวกเขาจำความฝันตอน 4 ขวบได้ บางคนตอบว่า 3 ขวบด้วยซ้ำ"</span><br />
<br />
<span style="color: rgb(102 , 102 , 102);">ความฝันในวัยเยาว์นั้นมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะความฝันช่วงปฐมวัย เพราะความฝันในช่วงวัยนี้จะบ่งบอกบุคลิกภาพและตัวตนที่อยู่ในส่วนลึก และยังบอกถึงแนวโน้มชีวิตในวันข้างหน้าได้ด้วย แต่เมื่อพ้นช่วงปฐมวัย (7 ขวบแรก) เด็กจะเข้าสู่ช่วงไปโรงเรียน ความฝันในช่วงนี้ไม่ค่อยมีนัยยะเชิงลึกอะไร จนกระทั้งเด็กเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น (ประมาณอายุ 13-20) ความฝันจะกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง และหลังจากนั้นในช่วงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ความฝันก็ลดบทบาทลงอีกครั้งหนึ่ง กระทั่งเราอายุ 35 ขึ้นไป ความฝันก็จะกลับมามีความหมายสำคัญกับชีวิตอีกรอบ</span><br />
<br />
<span style="color: rgb(102 , 102 , 102);">........</span><br />
<br />
<span style="color: rgb(102 , 102 , 102);">อ่านสนุกทุกหน้า ไว้จะค่อยๆมาย่อให้ฟัง<br /><br />ครูแม่ส้ม (สมพร อมรรัตนเสรีกุล)<br /><br /><span style="color: rgb(192 , 192 , 192);">23 . 5 . 54 : The Sun ของเดือนหน้า (ยิ้มให้กับวันพรุ่ง เดือนพรุ่ง ที่อยู่ในลมหายใจของวันนี้เดี๋ยวนี้)</span><br /><br /></span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-35821857712376519492011-04-19T11:02:00.000-07:002020-01-24T01:43:42.803-08:00การเผยออกของตัวตนผ่านภาพสัญลักษณ์<a href="http://1.bp.blogspot.com/-yEYLqurhl-4/Ta3POOhtaKI/AAAAAAAAAL4/d0_kSSaMjRw/s1600/199477_1921438596506_1258303204_32338038_5190940_n.jpg" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5597357755215997090" src="https://1.bp.blogspot.com/-yEYLqurhl-4/Ta3POOhtaKI/AAAAAAAAAL4/d0_kSSaMjRw/s400/199477_1921438596506_1258303204_32338038_5190940_n.jpg" style="cursor: pointer; height: 400px; width: 400px;" /></a><br />
<div style="color: #999999;">
(ภาพนี้เป็นภาพวาดของคาร์ล ยุง ชื่อ "The Serpent and the Tree")</div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
การ ตีความภาพ (ไม่ว่าจะเป็นภาพที่ตาเห็น ภาพในจินตนาการ หรือภาพในฝัน) การรับรู้ visual elements หรือ ทัศนธาตุ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำหรับการอ่านและตีความ จะถูกรับรู้ผ่านจิตไร้สำนึก 2 ส่วนควบคู่กันไป</div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
- ส่วนที่มาจาก personal unconscious (จิตไร้สำนึกระดับบุคคล) เป็นการรับรู้ต่อสัญลักษณ์ในระดับปัจเจกบุคคล ซึ่งจะตีความผ่านการรับรู้และความรู้สึกของคนอื่นได้ยาก เช่น ความรู้สึกต่อสีแดง สำหรับเรา(ปัจเจก)สามารถหมายถึงอารมณ์ได้ทุกสภาวะ เช่น เป็นความรู้สึกกลัวก็ได้ เศร้าก็ได้ ฮึกเหิมก็ได้ ดีใจก็ได้ แรงปรารถนาหรือความเกลียดชังก็ได้ (ตีความได้ไม่สิ้นสุด เพราะการรับรู้ในส่วนนี้เป็นด้าน personal archetype ซึ่งมีนับไม่ถ้วน)</div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
- อีกส่วนหนึ่งมาจาก collective unconscious หรือ จิตไร้สำนึกสากลร่วมกันของมนุษยชาติ ในส่วนนี้เองที่ทัศนธาตุ(visual elements)ของภาพที่เข้ามาในสำนึกของเรา ไม่ว่าจะเป็นสี รูปทรง ทิศทาง จังหวะ ที่ว่าง พื้นผิว แสง และความเข้มข้น ฯลฯ จะสามารถอนุมานได้ว่าคนเราทุกๆคนมีชุดการรับรู้ความรู้สึกร่วมกัน ไม่ว่าคนชาติไหน ภาษาไหน ยุคไหน ก็มีสำนึกต่อสิ่งนี้ใกล้เคียงกัน เช่น สีแดงแสดงปรารถนา สีฟ้าแทนความคิด สีเขียวแทนผัสสะ และสีเหลืองเป็นสีแห่งญาณทัศนะ หรือเส้นนอนผ่อนคลาย เส้นตั้งมั่นคง เส้นเอียงเคลื่อนไหว เป็นต้น (ด้านนี้เป็น collective archetype)</div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
ดังนั้นในการอ่านภาพ เราจึงใช้จิตไร้สำนึกทั้ง 2 ส่วนนี้ผสมกันตลอดเวลา นี่เองที่ทำให้ศาสตร์การทำนายฝัน และการพยากรณ์ด้วยภาพ ถูกใช้เป็นช่องทางเข้าไปอ่านสัญลักษณ์ที่เป็นอวัจนะภาษาของจิตด้านที่เป็นจิตบอด หรือ blind area ซึ่งจิตสำนึกตามปกติประจำวันเข้าไปไม่ถึง หรืออ่านไม่ออก</div>
<div style="color: #666666;">
</div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
....</div>
<div style="color: #666666;">
<br /></div>
<div style="color: #666666;">
ครูแม่ส้ม (สมพร อมรรัตนเสรีกุล) </div>
<div style="color: #666666;">
เรียบเรียงจากแนวคิดของยุงในเรื่อง ความฝัน และการเผยออกของตัวตนผ่านสัญลักษณ์</div>
Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-89915493038106426672011-04-18T01:05:00.000-07:002020-01-24T01:42:51.356-08:00กรีดร้อง<br />
<span style="color: rgb(192 , 192 , 192);"><br /></span>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-NDgQrLza3CE/Xiq8Au3wIwI/AAAAAAAAGfc/58KlnzOUtfwRorwGjl63ViGxwozGPjp5QCLcBGAsYHQ/s1600/the-scream.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="750" data-original-width="594" height="320" src="https://1.bp.blogspot.com/-NDgQrLza3CE/Xiq8Au3wIwI/AAAAAAAAGfc/58KlnzOUtfwRorwGjl63ViGxwozGPjp5QCLcBGAsYHQ/s320/the-scream.jpg" width="253" /></a></div>
<span style="color: rgb(192 , 192 , 192);"><br /></span>
<span style="color: rgb(192 , 192 , 192);"><br /></span>
<span style="color: #444444;"><span style="color: silver;">ภาพนี้ชื่อว่า "กรีดร้อง" </span><i>The Scream</i><span style="color: silver;"> (1893) โดยศิลปิน </span><b>Edvard Munch</b></span><br />
<span style="color: #444444;"><br /></span>
<span style="color: #444444;"><br /></span>
<span style="color: #444444;"> ความเป็น Symbolism ในงานศิลปะ แสดงออกแบบเดียวกับภาพที่เกิดขึ้นในความฝัน ศิลปินไม่ได้สนใจเรื่องธาตุทางศิลปะหรือสุนทรียทักษะมากนัก แต่ปล่อยให้จิตใต้สำนึกเผยสัญลักษณ์ออกมาอย่างอิสระ ความงามของภาพแนวนี้ไม่ได้ตัดสินกันที่ทักษะทางฝีแปรง แต่คุณค่าอยู่ที่การเปิดเผยอย่างหมดเปลือกของตัวศิลปิน เป็นการเปลือยออกของจิตใต้สำนึกโดยที่เจ้าตัวพร้อมเสี่ยงที่จะถูกอ่าน ถูกเห็น ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกตำหนิ หรือถูกชื่นชม </span><br />
<span style="color: #444444;"><br /></span>
<span style="color: #444444;">ลัทธิทางศิลปะต่างๆไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ภาพวาด ดนตรี บทกวี วรรณกรรม ล้วนเคลื่อนไปพร้อมๆกับการพลิกหน้าดินของสังคม โลกหมุนไปเป็นพลวัต สังคม การเมือง ศิลปะ มีการพลิกมีการกลับหน้าดินครั้งแล้วครั้งเล่า .. เหตุเกิดที่ถนนสีลมในวันสงกรานต์ ก็เป็นปรากฏการณ์พรวนดิน .. เป็นฝันที่เราต้องเปิดตาเปิดใจน้อมรับเขาเข้ามา เพราะเขาคือส่วนหนึ่งของเราเหมือนกัน </span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-93210470437289542011-04-13T21:46:00.000-07:002020-01-24T01:38:48.404-08:00ในโลกฝัน ไม่ตัดสินขาว ไม่พิพากษาดำ<a href="http://4.bp.blogspot.com/-kVCPpT5wsGQ/TaZ8TNsDpLI/AAAAAAAAAKw/D8LwfJ_xwEk/s1600/IMG_0100.jpg" onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5595296256588227762" src="https://4.bp.blogspot.com/-kVCPpT5wsGQ/TaZ8TNsDpLI/AAAAAAAAAKw/D8LwfJ_xwEk/s400/IMG_0100.jpg" style="cursor: hand; cursor: pointer; height: 400px; width: 400px;" /></a><br />
<div>
<br /></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #666666;">จิตสำนึกถูกสอนมายาวนาน นานก่อนเราเกิดแล้ว ว่าในโลกใบนี้ มีด้านสว่างและด้านมืดอยู่คู่กัน มีความดีตรงข้ามกับความชั่ว การจะอยู่รอดต้องตัดสินใจเลือกฝ่ายหนึ่งไว้ และสลัดละทิ้งอีกฝ่ายหนึ่งไป</span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #666666;"><br /></span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #666666;">แต่เพราะสิ่งคู่ก็คือสิ่งคู่ เราเลือกมองหน้าเดียวของเหรียญได้ เลือกเชื่อว่าเหรียญมีเพียงด้านเดียวได้ แต่ใช่ว่าความเชื่อของเราจะทำให้เหรียญอีกหน้าหนึ่งหายไปจริงๆ</span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #666666;"><br /></span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #666666;">อีกด้านของเหรียญที่เราเลือกที่จะไม่มอง กลัวที่พลิกมันขึ้นมา หรือกระทั่งลืมไปแล้วว่าธรรมชาติของเหรียญคือมีสองด้าน ก็จะมาผลุบโผล่ให้เคืองใจในความฝัน โผล่มาเป็นถ้อยคำเป็นสุ้มเสียงที่เราต้องอุดหู โผล่มาเป็นภาพเป็นฉากที่เราต้องวิ่งหนีและซุกซ่อน </span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #666666;"><br /></span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #666666;">ฝันเหนื่อย ฝันร้าย ฝันใจหาย ... คือสัญญะที่มาสะกิดว่า ช่วยพลิกเหรียญอีกด้านขึ้นมาพิจารณาอย่างกล้าหาญเถิด</span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #666666;"><br /></span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #666666;">.........</span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #666666;"><br /></span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="font-size: small;"><span class="Apple-style-span" style="color: #999999;">(เรื่องและภาพประกอบถ่ายโดย ครูแม่ส้ม)</span></span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #666666;"><br /></span></div>
<div>
<span class="Apple-style-span" style="color: #666666;"><br /></span></div>
Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-1111383073556940922005-03-20T21:22:00.000-08:002020-01-24T01:38:24.306-08:00มายาการกับความฝัน<span style="font-family: "arial";">.....</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">คนโบราณมักใช้การอุปมาอุปมัย ในการสอนเรื่องนามธรรม (การศึกษาทางเลือกหลายสำนักก็กลับมาให้ความสนใจเรื่องอุปมาอุปมัย โดยจัดอยู่เข้าหมวดญาณทัศน์ด้วย) </span><br />
<span style="font-family: "arial";">วันนี้แปลบท <strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">"</span><span style="color: rgb(204 , 153 , 51);"><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">มายาการกับความฝัน"</span> </span></strong>มาให้อ่านค่ะ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">.............</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"><strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">"เงาสะท้อน" </span></strong>ภาพราชสีห์คำรามเกรี้ยวกราดใส่เงาสะท้อนของตัวเองในสระน้ำ เพราะเข้าใจว่าภาพที่เห็นในน้ำนั้นเป็นราชสีห์อีกตัวหนึ่ง ซึ่งกำลังคำรามใส่ตนเช่นกัน</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ความฝันเป็นภาพสะท้อนของดวงจิต การปล่อยให้อารมณ์ไหลเลื่อนไปตามแรงกระตุ้นแห่งเหตุปัจจัย จึงอุปมาดังว่าเรากำลังคำรามใส่เงาสะท้อนของดวงจิตตัวเอง </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ความฝันไม่ใช่สิ่งแปลกแยกจากดวงจิตของเรา เช่นที่รังสีของดวงอาทิตย์ไม่ได้แปลกแยกออกไปจากแสงแดด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเงาสะท้อนของกันและกัน ท้องฟ้าก็คือจิตของเรา ภูเขาก็เป็นดวงจิตของเรา ดอกไม้ อาหาร ตลอดจนผู้คนที่เราพบเห็น ทั้งหมดล้วนคือดวงจิตของเรา ซึ่งสะท้อนเงากลับมาสู่เราผ่านการฝันนั่นเอง</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"><strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">"แสงฟ้าแลบ"</span></strong> ในค่ำคืนที่มืดสนิท เรามองไม่เห็นสิ่งรอบตัว แต่เมื่อพลันปรากฏแสงฟ้าแลบสว่างขึ้น ทันใดนั้นภาพทิวเขาตั้งตระหง่านตัดกับฉากหลังของท้องฟ้าสีดำก็ปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง ขุนเขาไม่ได้เพิ่งจะปรากฏเมื่อเกิดแสงฟ้าแลบ แต่ขุนเขาดำรงอยู่อย่างนั้นก่อนแล้ว แม้ไม่มีสายฟ้าสว่างวาบขึ้นมา ขุนเขาก็ยังคงตระหง่านอยู่ตรงนั้น </span><br />
<span style="font-family: "arial";">..แสงฟ้าแลบที่สว่างวาบขึ้นมาอย่างฉับพลัน อุปมาเหมือนแสงสว่างในดวงจิตของเรา เมื่อสว่างวาบขึ้นคราใด เราก็สามารถเห็นภาพที่ต่างไป แสงฟ้าแลบในดวงจิตของเรา คือแสงแห่งวิชชา และวิชชาเองก็สถิตย์อยู่แล้วในดวงจิตของเราเหมือนภูเขาที่ตั้งตระหง่านเงียบในความมืด </span><br />
<span style="font-family: "arial";"> </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"><strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">"สายรุ้ง"</span></strong> ความฝันเปรียบเหมือนสายรุ้ง ทั้งสวยงามและเต็มไปด้วยเสน่ห์จูงใจ แต่ไม่มีตัวตน ไม่สามารถจับต้องได้ สายรุ้งเป็นเพียงภาพฉายของแสงซึ่งมารวมกันในองศาที่เหมาะเจาะ ดังนั้นการพยายามติดตามเพื่อเอื้อมคว้าสายรุ้งมายึดครอง จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะ ณ ตำแหน่งที่เราเห็นรุ้งกินน้ำปรากฏขึ้น แท้จริงไม่ได้มีอะไรดำรงอยู่ตรงนั้นเลย สายรุ้งจึงเป็นเพียงการมาประชุมกันของเหตุปัจจัยอันเอื้อให้เกิดภาพลวงตาขึ้นเท่านั้น</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"><strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">"ดวงจันทรา"</span></strong>ความฝันอุปมาได้กับดวงจันทร์ ซึ่งสะท้อนเงาให้เห็นในแหล่งน้ำที่หลากหลาย ในสระบัว ในบ่อบึง ในลำธาร หรือในทะเลกว้าง ทั้งก็ยังส่องสะท้อนอยู่บนหน้าต่างกระจกนับล้านบานในเมืองใหญ่อีกด้วย ทั้งที่ดวงจันทร์มีเพียงหนึ่งเดียว หาได้มีจำนวนมากมายมหาศาลเท่าจำนวนเงาสะท้อนไม่ </span><br />
<span style="font-family: "arial";">..อุปมาได้กับเรื่องราวมากมายมหาศาลที่ปรากฏภาพแล้วภาพเล่าในความฝัน แท้จริงทั้งหมดของความมหาศาลนั้นมีแหล่งกำเนิดเพียงหนึ่งเดียวในดวงจิตของเรา</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"><strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">"มายากล"</span></strong> นักมายากลสามารถเสกก้อนหินก้อนหนึ่งให้กลายเป็นช้าง กลายเป็นงู แล้วกลายไปเป็นเสือได้ในบัดดล กลเม็ดความชำนาญของนักมายากล และความน่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้ผู้ชมคล้อยตามได้ไม่ยาก </span><br />
<span style="font-family: "arial";">..</span><span style="font-family: "arial";">ในความฝัน ตัวเราเปรียบเหมือนผู้ชมมายากล ภาพความฝันที่เราตื่นตาตื่นใจและคล้อยตาม เปรียบก็เหมือนช้าง งู และเสือของนักมายากล ซึ่งล้วนเป็นฉากลวงตาที่ถูกสร้างโดยกลเม็ดมายาของดวงจิตเรานั่นเอง</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"><strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">"เงาลวง"</span></strong> ในดินแดนอันร้อนระอุกลางทะเลทราย เมื่อองศาของเหตุปัจจัยพอเหมาะ นักเดินทางจะเห็นภาพบ้านเมืองระยิบระยับอยู่เบื้องหน้า หรืออาจเห็นแหล่งน้ำโอเอซิสเขียวชอุ่มอยู่แค่เอื้อม ภาพที่เห็นทำให้นักเดินทางอาจเดินหลงทิศ หรือทุรนทุรายไขว่คว้าไปจนสิ้นแรง </span><br />
<span style="font-family: "arial";">..</span><span style="font-family: "arial";">ความฝันก็ไม่ต่างกัน ภาพที่เราเห็นในความฝันอุปมาได้กับเงาลวงตากลางทะเลทราย เมื่อใดที่เราเข้าใจว่าภาพที่เห็นเป็นความจริง และทุรนทุรายไปกับสิ่งนั้น เราก็อาจจะเดินหลงทิศและวนเวียนอยู่ในทะเลทรายจนหมดแรง โดยหารู้ไม่ว่าเงาลวงตานั้น แท้จริงเป็นเพียงการเล่นของแสงอันว่างเปล่า</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"><strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">"เสียงก้องสะท้อน"</span></strong> เมื่อยืนอยู่กลางหุบเขา เสียงตระโกนหนึ่งเสียง จะย้อนกลับมาเป็นเสียงก้องอีกหลายเสียง ถ้าตระโกนดังเสียงก้องสะท้อนก็ดังตาม ตระโกนเบา ๆ เสียงก้องสะท้อนก็เบา หรือถ้าเปล่งเสียงกระซิกร่ำไห้ เสียงก้องที่สะท้อนกลับมาก็คือเสียงกระซิกร่ำไห้อย่างนั้น </span><br />
<span style="font-family: "arial";">..</span><span style="font-family: "arial";">เสียงก้องทุกเสียงที่สะท้อนไปสะท้อนมากลางหุบเขา ประหนึ่งว่ามีผู้คนเปล่งเสียงไม่ขาดสายนั้น ที่จริงมีจุดกำเนิดเสียงเพียงจุดเดียว เสียงที่ก้องสะท้อนรอบที่ตามมาอีกหลายรอบจึงเป็นมายา เสียงในความฝันก็เช่นเดียวกัน ทุกสรรพสำเนียงและเรื่องราวในความฝัน อุปมาเหมือนกับเสียงก้องกลางหุบเขาที่สะท้อนไปมาหลายตลบ ความฝันจึงคือเสียงก้องสะท้อนที่เปล่งออกไปจากจิตหนึ่งเดียวของเรานั่นเอง</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="color: rgb(204 , 204 , 204); font-family: "arial";">..... </span><br />
<span style="font-family: "arial";">ตัวอย่างเหล่านี้ ย้ำให้เราตระหนักถึงธรรมชาติดั้งเดิมว่าไม่มีอะไรดำรงอยู่จริง พระสูตรในวัชรยานเรียกภาวะนี้ว่า <strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">"ความว่าง"</span></strong> ทางตันตระเรียกว่า <strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">"มายาการ"</span></strong> ส่วนคำสอนซอกเช็น เรียกภาวะนี้ว่า <strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">"เอกมณฑล"</span></strong> </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">สุบินโยคะ ไม่เน้นเรื่องการตีความสัญลักษณ์ในฝัน หรือหากจะตีความ ก็สอนให้หาความหมายที่ช่วยให้ก้าวหน้าในทางจิตวิญญาณ ให้ไปเหนือการแปลฝันหรือยึดติดกับความฝันใด ๆ </span><br />
<br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">.....</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">๒๗ มีนาคม ๒๕๔๗ </span><br />
<span style="font-family: "arial";">ครูแม่ส้ม : ย่อยแปล</span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-1111382513217423662005-03-20T21:19:00.000-08:002020-01-24T01:38:09.437-08:00ความฝันของผีเสื้อ<span style="font-family: "arial";">.....<br /><br />วันนี้ไม่ได้แปลสุบินโยคะมาให้อ่าน<br />แต่จะมาเล่าเรื่อง <span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">"ความฝันของผีเสื้อ"</span> อันลือลั่นของจวงจื้อ เมธีเต๋า</span><br />
<span style="font-family: "arial";">....</span><br />
<span style="font-family: "arial";"><br />กาลครั้งหนึ่ง<br />จวงจื้อนอนหลับฝันไปว่าตัวเองกลายเป็นผีเสื้อ บินเริงร่าอยู่ในสวนดอกไม้<br />เจ้าผีเสื้อแสนสวยหารู้ไม่ว่าตัวเองนั้นคือจวงจื้อ<br />ทันใดนั้นเอง<br />จวงจื้อตื่นขึ้นด้วยความงุนงง<br />อันตัวเรานี้คือจวงจื้อผู้ฝันว่าตัวเองกลายเป็นผีเสื้อ<br />หรือว่า ที่แท้เราคือผีเสื้อที่กำลังฝันว่าเป็นจวงจื้อ ?<br /><br />.......<br /><br />"ความฝันของผีเสื้อของจวงจื้อ" นี้มีนัยยะให้ติดตาม<br /><br />ในภาคฝัน ผีเสื้อบินเริงร่าอยู่ในสวน<br />จวงจื้อในภาคที่เป็นผีเสื้อไม่สนใจและไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นผีเสื้อ หรือเป็นจวงจื้อ เป็นใคร หรือเป็นอะไร<br />จวงจื้อในร่างผีเสื้อ มีเพียงขณะจิตที่เริงร่าอยู่ท่ามกลางดอกไม้ในสวน<br /><br />แต่เหตุไฉน เมื่อตื่นขึ้น<br />จวงจื้อกลับเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย<br />ว่าที่แท้ตัวตนของตัวเองเป็นอะไรกันแน่<br />เป็นจวงจื้อที่ได้ฝันไปว่ากลายเป็นผีเสื้อ<br />หรือว่านี่คือความฝันของผีเสื้อ ที่กำลังฝันว่าเป็นจวงจื้อ<br /><br />ระหว่าง "ผีเสื้อ" และ "จวงจื้อ" มีอะไรเป็นสิ่งขวางกั้น ?<br /><br />.....<br />ครูแม่ส้ม เขียน </span><br />
<span style="font-family: "arial";">๒๓ มีนาคม ๔๗</span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-1111382256824830062005-03-20T21:12:00.000-08:002020-01-24T01:37:44.668-08:00ทางเดินของปราณ<span style="font-family: "arial";">.........<br />วันนี้มาต่อเรื่อง <strong><span style="color: #996633;">"ช่องทางเดินของปราณ"</span></strong> </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">คำว่า <span style="color: #996633;">ปราณ </span>อาจจะได้ยินกันในหลาย ๆ ชื่อ เช่น พลังชีวิต ลมแห่งชีวิต <span style="color: #996633;">ชี่หรือขี่</span>(จีน) , <span style="color: #996633;">กิ</span>(ญี่ปุ่น) , <span style="color: #996633;">ปราณ</span>(อินเดีย)</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ช่องทางหรือช่องผ่านของปราณ ภาษาสันสกฤตเรียกว่า<span style="color: #996633;"> "นาทิ"</span> (Nadi) แปลว่า ช่องทางการเลื่อนไหล ในภาษาไทยตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิต เรียกว่า <span style="color: #996633;">"นาฬี หรือ นาลี"</span> แปลว่า ท่อหรือช่องนาฬีคือช่องทางเดินของปราณ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ในร่างกายคนเรามีนาฬีมากมาย ตำราโบราณของจีนและอินเดียบอกว่ามีมากกว่าเจ็ดหมื่นเส้น เรารู้จักนาฬีชนิดหยาบผ่านความรู้ทางการแพทย์และวิชากายวิภาค จากการศึกษาเรื่องระบบของเส้นเลือด ระบบการไหลเวียนของโลหิต ระบบน้ำเหลือง ระบบเส้นประสาท รวมทั้งเส้นและจุดในวิชาการฝังเข็มด้วย </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ช่องทางเดินของปราณที่กล่าวมาเบื้องต้น เป็นนาฬีของกายหยาบ แต่ในสุบินโยคะ จะพิจารณาไปถึงนาฬีของกายละเอียด กายละเอียดนี้เป็นมูลฐานของทั้งปัญญาญาณและอารมณ์ความรู้สึกทั้งปวง นาฬีละเอียดไม่สามารถบ่งชี้ตำแหน่งที่แน่ชัดว่าอยู่ตรงไหนในร่างกาย แต่เราสามารถตระหนักรู้และสัมผัสได้เมื่อได้รับการฝึก</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<br />
<br />
<span style="font-family: "arial";">นาฬีละเอียดมีท่อทางเดินที่เป็นนาฬีหลักอยู่ ๓ เส้นเรียงกัน โดยมีจักร ๖ จักรวางอยู่ในตำแหน่งที่เรียงลำดับกันทางตั้ง ๖ จุด และจากจักรทั้ง ๖ มีนาฬีเส้นสายย่อย ๆ อีก ๓๖๐ เส้นแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย (ตำราทิเบตเล่มนี้จะพูดถึงจักรเพียง ๖ จักร แต่ในตำราโยคะสายอื่น ๆ จะพูดถึงจักร ๗ จักร ๙ และจักรย่อยอีกมากมายไว้ด้วย)</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">เส้นนาฬีหลักทั้ง ๓ ของ<span style="color: #996633;">หญิง </span>เส้นทางขวามีสีแดง เส้นทางซ้ายมีสีขาว และเส้นตรงกลางมีสีน้ำเงิน </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ส่วนนาฬีของ<span style="color: #996633;">ผู้ชาย</span> เส้นทางขวาสีขาว เส้นทางซ้ายสีแดง และเส้นตรงกลางมีน้ำเงินเช่นกัน</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">จุดบรรจบของเส้นนาฬีหลักทั้ง ๓ เริ่มต้นจากตำแหน่งที่ต่ำลงไปใต้สะดือประมาณ ๔ นิ้ว เส้นนาฬีซ้ายและขวามีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดด้ามดินสอ ตั้งคู่ขนานและขนาบอยู่ด้านหน้าของแนวกระดูกสันหลังขึ้นไปจนถึงสมอง วนกลับภายในกระโหลก ณ จุดกลางกระหม่อม แล้วย้อนลงมาเชื่อมกับโพรงจมูก </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">รูจมูกทั้ง ๒ ข้างจึงเป็นประตูเปิดของนาฬีหลักเส้นซ้ายและขวาส่วนนาฬีหลักเส้นตรงกลาง อยู่ด้านหน้ากระดูกสันหลัง ตั้งตรงขึ้นตามแนวกระดูกสันหลังเริ่มจากจุดใต้สะดือลงไป ๔ นิ้วเช่นกัน มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดประมาณลำอ้อย เส้นผ่าศูนย์กลางนี้จะขยายกว้างขึ้นเล็กน้อยจากบริเวณหัวใจไปถึงจุดบรรจบที่กลางกระหม่อมบนศรีษะ</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">เส้น<span style="color: #996633;">นาฬีสีขาว</span> (ด้านขวาของชาย ด้านซ้ายของหญิง) เป็นช่องทางการเคลื่อนไหวของปราณหรือพลังงานด้านลบ และความคิดติดกรอบ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ส่วนเส้น<span style="color: #996633;">นาฬีสีแดง</span> (ด้านซ้ายของชาย และด้านขวาของหญิง) เป็นช่องทางเดินของพลังงานด้านบวกและปัญญา </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ดังนั้น ในการฝึกฝันแบบสุบินโยคะ ผู้ชายจะนอนตะแคงตัวขวา ส่วนผู้หญิงนอนตะแคงซ้าย เพื่อผลในการกดทับและปิดเส้นนาฬีสีขาว และเปิดเส้นนาฬีสีแดงซึ่งเป็นช่องทางของปัญญาและอารมณ์ทางบวก ท่านอนนี้จะช่วยให้ประสบการณ์ในความฝันเป็นไปทางบวกและกระจ่างชัด(การฝันแบบฝันกระจ่าง หมายถึงคุณภาพของฝันที่เรารู้ตัวในฝันว่าเรากำลังฝันอยู่ ภาพและเสียงตลอดจนประสาทรับรู้จะแจ่มชัด เมื่อตื่นแล้วก็ยังจดจำความฝันนั้นได้ เรียกว่า ฝันกระจ่าง หรือ Lucid Dreaming)</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ส่วนเส้นนาฬี<span style="color: #996633;">สีน้ำเงิน</span>ที่อยู่ตรงกลาง เป็นนาฬีที่อยู่เหนืออารมณ์ด้านบวกและอารมณ์ด้านลบ เป็นทางเดินของพลังแห่งความตระหนักรู้แจ้ง </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">จุดมุ่งหมายสูงสุดของการฝึกสุบินโยคะ คือการชักนำจิตสำนึกและปราณมาประสานรวมกันภายในนาฬีสีน้ำเงินเส้นตรงกลางนี้ ณ ที่ซึ่งไปพ้นทั้งความรู้สึกทางบวกและความรู้สึกทางลบ ไปพ้นเวทนาทั้งปวงเมื่อภาวะนี้เกิดขึ้น ผู้ฝึกจะตระหนักรู้ผ่านประสบการณ์ภายในว่าอารมณ์ความรู้สึกเชิงทวิภาวะทั้งหลาย ได้หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว เกิดเป็นความว่าง และความกระจ่างสว่างรู้</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">.....</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
ครูแม่ส้ม<br />
<br />
<span style="font-family: "arial";"></span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-1111381576558518132005-03-20T21:03:00.000-08:002020-01-24T01:37:04.877-08:00ปราณ<span style="font-family: "arial";">......</span><br />
<span style="font-family: "arial";">ตอน <strong><span style="color: #996633;">"ปราณ"</span></strong></span><strong><span style="color: #996633;"><br /></span><span style="font-family: "arial";"></span></strong><br />
<span style="font-family: "arial";">ความฝันเป็นกระบวนการที่เคลื่อนไหวต่อเนื่อง ภาพในความฝันจะเลื่อนไหลไปเรื่อย ๆ มีความสั่นสะเทือนของคลื่นเสียง มีคำพูด มีบทสนทนา และมีการเคลื่อนไหวโต้ตอบทางอารมณ์ความรู้สึก เนื้อหาเรื่องราวในความฝันก่อร่างขึ้นจากอารมณ์จิตใจ แต่รากฐานที่ก่อให้เกิดความฝันนั้นมาจาก “ปราณ”</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">คำว่า “ปราณ” (Prana) ในภาษาทิเบตคือ Lung แปลตามตัวอักษรในความหมายทั่วไป หมายถึง “ลม” แต่ความหมายในเชิงลึก หมายถึง “ลมแห่งชีวิต” ปราณเป็นรากฐานของพลังชีวิต การฝึกโยคะอาสนะ และฝึกหายใจแบบโยคี (ปราณยาม) เป็นการเพิ่มกำลังและฟอกชำระลมแห่งชีวิต เพื่อจุดมุ่งหมายในการสร้างดุลยภาพให้กับร่างกายและจิตใจ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">คติทางทิเบตได้ขยายความเกี่ยวกับลมแห่งชีวิต หรือ “ปราณ” ว่ามีคุณสมบัติอยู่ ๒ ประเภท คือ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"><strong><span style="color: #996633;">กรรมปราณ</span></strong> และ </span><span style="font-family: "arial";"><span style="color: #996633;"><strong>ปัญญาปราณ</strong></span> </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">.......</span><br />
<br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-1111381415760544942005-03-20T20:56:00.000-08:002020-01-24T01:36:53.903-08:00รอยอกุศลกรรม<span style="font-family: "arial";">....<br /><br />เมื่อใดก็ตามที่เราใช้อารมณ์ด้านลบโต้ตอบกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต เมื่อนั้น <strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">“รอยอกุศลกรรม”</span></strong> ได้ถูกประทับไว้แล้วทันทีในจิตของเรา และรอยอกุศลกรรมนี้ เป็นพลังที่มีอิทธิพล ทำให้ชีวิตของเราต้องเผชิญกับสถานการณ์ด้านลบอีกต่อ ๆ ไปอย่างไม่รู้จบ<br /><br />ดังตัวอย่างเช่น เมื่อมีใครสักคนแสดงโทสะใส่เรา และเราโต้ตอบกลับด้วยโทสะเช่นเดียวกัน นั่นเท่ากับเราได้ทิ้งรอยกรรมแห่งโทสะจริตไว้ ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็นคนโกรธง่ายขึ้นเรื่อย ๆ โกรธบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ จนดูเหมือนว่าสถานการณ์ที่เป็นปัจจัยยั่วโทสะรอบตัวเรานั้นช่างมีมากมายเหลือเกิน และนับวันก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ<br /><br />ในทำนองกลับกัน ถ้าเราไม่โต้ตอบสถานการณ์ด้วยความโกรธ ก็จะไม่มีการประทับรอยโทสะไว้ในรอยกรรมของเรา ในสถานการณ์เดียวกันเช้นนี้ บุคคลที่ถูกประทับรอยกรรมด้วยอารมณ์โกรธ กับอีกคนที่ไม่ คนทั้ง ๒ ย่อมได้รับผลแห่งกรรมไม่เหมือนกัน ทั้งผลภายนอก (หน้าที่การงาน ชีวิตทางสังคม) และผลภายใน (ความสงบสุขทางจิตใจ สุขภาพทางร่างกาย ตลอดจนความคิดและสติปัญญา)<br /><br />ความกลัว ความวิตก ก็เป็นอีกตัวอย่างของอารมณ์ที่ทิ้งรอยกรรมด้านลบไว้ ความกลัวความวิตกกังวลทำให้คนตกอยู่ในภาวะเครียด ความเครียดเป็นพลังงานที่แผ่ซ่านออกไปรอบทิศทางชีวิตของบุคคลนั้น เราคงจะเห็นบ่อย ๆ ว่า คนที่โกรธง่าย วิตกกังวลง่าย และมีความกลัวอยู่ในใจ จะดึงดูดเอาผลแห่งรอยกรรมด้านลบหรือด้านร้ายเข้าสู่ชีวิตของเขาเอง จนดูประหนึ่งว่าชีวิตเขาจะพบแต่โชคร้ายอยู่เนือง ๆ<br /><br />แต่แม้ว่าเราจะกดอารมณ์โกรธ กดความวิตกและความกลัวนั้นไว้ในใจเงียบ ๆ ไม่แสดงการโต้ตอบออกไป รอยกรรมแห่งอกุศลจิตก็ยังไม่ได้หายไปไหน เพราะการเก็บกดไว้เป็นการสำแดงความไม่พึงพอใจแบบย้อนกลับ แม้ไม่แสดงออกมา แต่ก็ไม่ได้หมดไป ยังคงซ่อนอยู่หลังประตูที่เราคล้องกุญแจไว้ มันซ่อนอยู่ในความมืดอย่างรอคอย เหมือนศัตรูร้ายที่ซุ่มเงียบ รอให้ได้ที หรือได้ฤกษ์เมื่อไร ก็พร้อมที่จะสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาต่าง ๆ นานา<br /><br />ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเก็บกดความโกรธ หรืออิจฉาริษยาใครก็ตามไว้ในใจ เราจะรู้สึกได้ถึงความเดือดพล่านในอารมณ์ของเราเป็นระยะ แม้ว่าเราจะเก็บความริษยานั้นไว้เป็นความลับสุดยอด แต่ก็ไม่วายที่เราอาจจะเผลอนินทาว่าร้ายบุคคลนั้นไปอย่างไม่รู้ตัว หรือแม้ว่าเราจะปฏิเสธกับตัวเองว่าเราไม่ได้โกรธหรือริษยาใคร แต่เราก็หลอกจิตใจตัวเองไม่ได้ ตราบใดที่จิตของเรายังจับความรู้สึกโกรธ เกลียด กลัว อิจฉา หรืออาฆาตมาดร้ายที่เก็บกดไว้หลังประตูใจของเราได้ ตราบนั้นเมล็ดพันธุ์แห่งอกุศลกรรมได้ถูกหว่านไปในพื้นดินอันอุดมด้วยกิเลสเรียบร้อยแล้ว<br /><br />......ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า ร่องรอยแห่งอกุศลกรรมนั้นจะถูกประทับทันที ไม่ว่าเราจะสร้างอกุศลทางใดก็ตาม ทั้งทางการกระทำ ทางวาจา ทางความคิด และทางความรู้สึก<br /><br />ดังนั้น แทนที่เราจะปล่อยให้อุปนิสัยหรือจริตของเราขับเคลื่อนไปตามยถากรรม หรือเก็บกดความรู้สึกทางอกุศลไว้ในใจ เราสามารถเปลี่ยนรอยอกุศลกรรมได้ ด้วยการสื่อสารกับจิตวิญญาณภายในของเราให้ลดทอนอารมณ์ด้านลบต่าง ๆ การสื่อสารกับตัวเองเป็นการช่วยให้เราเชื่อมั่นว่าเราสามารถเปลี่ยนรอยอุกศลกรรม ให้เป็น กุศลกรรมได้<br /><br />เมื่อใครสักคนทำให้เราโกรธ จริตเดิมเราอาจจะเริ่มปรากฏโทสะขึ้น แต่ด้วยการสื่อสารและเชื่อมั่นในกุศลกรรม จะช่วยให้เราค่อย ๆ เปลี่ยนความโกรธนั้นเป็นความเมตตา ขณะเริ่มฝึกใหม่ ๆ เราอาจรู้สึกว่าการปรับเปลี่ยนนี้ช่างฝืนใจและเสแสร้งเสียเหลือเกิน มันช่างไม่เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของเราเลย<br /><br />แต่ลองคิดใคร่ครวญดูดี ๆ ซิว่า บุคคลที่โกรธเกลียดเราคนนั้น เขาจะต้องถูกผลักให้เข้าไปวนเวียนอยู่ในวังวนของความโกรธอันไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องด้วยกรรมของเขาเอง จิตใจของเขาจะต้องทนทุกข์กับหลุมพรางที่ตัวเองเป็นคนขุด ต้องติดอยู่ในกับดักที่ตัวเองเป็นคนสร้าง ว่ายเวียนอยู่ในรอยอกุศลกรรมที่ตัวเองเป็นผู้ก่อ เมื่อเราพิจารณาอย่างเข้าใจได้เช่นนี้ ความรู้สึกเมตตาก็จะผุดขึ้นในใจเรา เราจะเริ่มมีสติที่จะไม่กระทำการตอบโต้ด้วยจริตเดิม เพราะเราไม่อยากเข้าไปว่ายวนในทะเลทุกข์เหมือนเขา นั่นเท่ากับเราได้เริ่มลงมือเปลี่ยนแปลงรอยกรรมใหม่ในอนาคตของเราแล้ว ด้วยการกระทำในวันนี้ของเราเอง ซึ่งเรามีสิทธิ์เลือกได้<br /><br />ผลแห่งกรรมในทางกุศลนี้ ต้องเป็นไปตามความปรารถนาที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้เติบโตอย่างอบอวลไปด้วยความสงบสันติ ความปรารถนานี้ทำให้เราศรัทธาเชื่อมั่น เป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตาลงไปในใจอย่างไม่รู้ตัว<br /><br />คราวต่อ ๆ ไป เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เคยสร้างความโกรธเคืองให้เราอีก เมล็ดพันธุ์แห่งเมตตาธรรม จะแตกหน่อออกผลอย่างเป็นธรรมชาติในใจเรา เราจะเกิดความเมตตาขึ้นอย่างไม่ต้องฝืน อย่างเป็นธรรมดา อย่างสบาย ๆ จิตไร้สำนึกของเราไม่จำเป็นต้องสร้างกลไกการปกป้องตัวเองด้วยการโต้ตอบด้วยวิธีรุนแรงอีกต่อไป<br /><br />กุศลกรรมเป็นกรรมที่สะสมทับทวีคูณ เมื่อเริ่มต้นฝึกปรับเปลี่ยนรอยกรรมใหม่ ๆ เราจะรู้สึกว่าต้องอดทน อดกลั้น ต้องฝืนใจอย่างมาก แต่เมื่อรอยกรรมที่เป็นกุศลเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ผลแห่งกรรมนั้นเองที่ช่วยให้ความโกรธของเราลดลงไปทีละนิด ๆ อย่างไม่ต้องฝืน ไม่ต้องพยายาม ทั้งทางกาย ทางใจ และทางปัญญา<br /><br />อาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับ กุศลกรรม และ อกุศลกรรม เราสามารถพัฒนาจิตวิญญาณของเราด้วยการฝึกใส่ใจทุก ๆ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งในยามตื่น ในระหว่างภาวนา และในความฝัน<br /><br />............<br /><br />(แปลจากบางตอนของหนังสือ The Tibetan Yogas of Dream and Sleep </span><br />
<span style="font-family: "arial";">เขียนโดย เท็นซิน วังจัล รินโปเช)</span><span style="font-family: "arial";">ครูส้ม : สมพร อมรรัตนเสรีกุล </span><span style="font-family: "arial";"> แปล</span><span style="font-family: "arial";"></span><span style="font-family: "arial";">รูปประกอบวาดเมื่อ มีนาคม ๔๖<br /><br /></span><span style="font-family: "arial";"></span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-1111380965655977342005-03-20T20:51:00.000-08:002020-01-24T01:36:38.368-08:00รอยกรรมและความฝัน<span style="font-family: "arial";">........</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="color: #996633; font-family: "arial";"><strong>"รอยกรรม และ ความฝัน"</strong></span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด จินตนาการ ทรรศนะ การรับรู้ ตลอดจนสัญชาตญาณ หรือที่เรียกรวม ๆ กันว่า “จิตสำนึกและจิตไร้สำนึก” ปรากฏขึ้นจากรอยกรรมของปัจเจกบุคคล </span><br />
<span style="font-family: "arial";">ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง ด้วยความรู้สึกที่หดหู่เศร้าหมองอย่างไม่มีเหตุผล อารมณ์ในเช้านี้ แทนที่จะสดชื่นแจ่มใสเหมือนเช้าวันอื่น ๆ กลับหนักอึ้งหม่นมัว แม้จะรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกหดหู่ก็ยังไม่หายไปไหน </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ที่แย่กว่านั้นคือ คิดอย่างไรก็หาต้นเหตุที่ทำให้อารมณ์หม่นหมองนั้นไม่พบ เพิ่งตื่นแท้ ๆ ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรมากระทบให้อารมณ์เสียสักอย่าง เรื่องราวขัดใจกับใครก็ไม่มี เหตุใดอารมณ์จึงไม่สดชื่นแต่เช้า ดูช่างไม่สมเหตุสมผลเสียจริง ๆ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล อารมณ์หม่นหมองที่เกิดขึ้นในตอนเช้า เกิดจากความเหมาะเจาะสอดคล้องของเหตุปัจจัยแห่งกรรมที่เรามองไม่เห็น กรรมที่เป็นต้นตอของจิตหมองนี้มีเหตุปัจจัยมากมายเหลือคณานับ รวมทั้งเหตุปัจจัยที่ก่อรูปขึ้นในความฝันยามหลับด้วย แม้ว่าเธอจะตื่นมา แล้วพูดว่าเมื่อคืนไม่ได้ฝันอะไร หรือได้ลืมความฝันไปแล้ว แต่อารมณ์ความรู้สึกในฝันยังคงตกค้างอยู่ ซึ่งทำให้จิตใจเศร้าหมองอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ในช่วงเวลากลางวันที่ร่างกายของเราตื่นอยู่ จิตจะทำงานคู่ขนานไปกับความคิดเชิงเหตุผลอยู่เสมอ แต่เมื่อร่างกายของเรานอนหลับและเข้าสู่ห้วงของความฝัน จิตขณะฝันของเรา เป็นจิตที่อิสระจากวิสัยเชิงเหตุผล เปรียบเทียบคล้ายกับการถ่ายภาพ วันหนึ่ง ๆ เราได้บันทึกภาพมากมายลงบนฟิล์ม ผ่านความคิด ผ่านประสบการณ์ ผ่านความจำ และผ่านความรู้สึก ภาพแต่ละภาพถูกบันทึกไปอย่างต่อเนื่อง ครั้นพอตกค่ำคืน ขณะที่ร่างกายของเรานอนหลับ กระบวนการล้างฟิล์มได้ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น ภาพที่ล้างออกมา ปรากฏเป็นความฝันในแต่ละคืน ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงที่จิตบันทึกไว้ในชีวิตประจำวันขณะตื่น และอีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากรอยกรรมในอดีต </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ภาพหรือความฝันที่เกิดขึ้นในแต่ละคืนจะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขเฉพาะของรอยกรรมที่ปรากฏในช่วงนั้น ๆ บางคืนภาพที่เราเห็นในความฝันก็ช่างมีอานุภาพต่อจิตใจเราอย่างรุนแรง เปรียบเหมือนภาพที่ชัดเสียจนตื่นมาแล้วก็ยังจดจำได้ทุกรายละเอียด จำทุกอารมณ์ทั้งสุขและทุกข์ได้ แต่บางฝันก็ทิ้งไว้เพียงความจำที่เลือนลาง เหมือนภาพที่ลอยมาให้เห็นแล้วก็ผ่านไป ตื่นมาก็จำอะไรไม่ค่อยได้จิตของเราทำหน้าที่คล้ายหลอดไฟของเครื่องฉายภาพ ซึ่งให้ความสว่างแก่รอยกรรมที่ถูกกระตุ้นด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ เมื่อหลอดภาพที่ถูกจุดให้สว่างขึ้น ประกอบเข้ากับรอยกรรมที่ถูกกระตุ้น จึงก่อให้เกิดภาพและประสบการณ์ที่เรียกว่า “ความฝัน” </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ความจริงกระบวนการฉายแสงให้จอสว่างเพื่อที่เราจะได้เห็น “ภาพหรือประสบการณ์” เบื้องลึกของจิตอย่างแจ่มชัด ก็เกิดขึ้นในขณะที่เราตื่นด้วยเหมือนกัน แต่กระบวนการฉายภาพเบื้องลึกเช่นนี้ จะเห็นและเข้าใจได้ง่ายกว่าในความฝัน เพราะว่าในฝัน เราสามารถสังเกตทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยจิตที่เป็นอิสระจากข้อจำกัดและเงื่อนไขเชิงเหตุผลอย่างที่เราเคยชินในช่วงเวลาตื่นอีกประการหนึ่ง </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ในระหว่างวันของชีวิตยามตื่น เราไม่สามารถผนวกตัวเองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับประสบการณ์ภายในได้สนิทเหมือนขณะฝัน เพราะความคิดที่ติดยึดว่าประสบการณ์ขณะตื่นเป็น<span style="color: #996633;"> “ของจริง”</span> ทำให้คนทั่วไปมักตัดสินว่า <span style="color: #996633;">“โลกภายนอก”</span> คือโลกแห่งความเป็นจริง และนี่เป็นข้อจำกัดของความคิดเชิงเหตุผลแบบทวิภาวะ ที่แบ่งแยกโลกภายนอกออกจากโลกภายใน และแบ่งแยกโลกของจริงออกจากโลกฝัน </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ในทางสุบินโยคะ ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนจิต เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อประสบการณ์ทุกมิติทั้งยามตื่น และยามหลับฝัน และเพื่อให้สามารถเชื่อมโลกภายนอกเข้ากับโลกภายใน เชื่อมประสบการณ์ภายนอกเข้ากับประสบการณ์ภายใน เมื่อจิตมีความเป็นหนึ่งเดียว จิตจึงจะว่องไวต่อความตระหนักรู้ ทั้งในชีวิตยามตื่นและชีวิตยามหลับ จิตที่ว่องไวและตระหนักรู้ มีผลต่อการกำหนด<span style="color: #ffcc66;"> </span><span style="color: #996633;">“กรรม” และ “รอยกรรม”</span> ชุดใหม่ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า รอยกรรมที่เก็บซ่อนอยู่ในอาลัยวิญญาณ จะปรากฏออกมาเมื่อเกิดความสอดคล้องเชื่อมโยงกันของเหตุปัจจัยทั้งหลาย และการปรากฏของรอยกรรมก็มิได้ปรากฏเฉพาะในชีวิตยามตื่นเท่านั้น แต่จะไปปรากฏในชีวิตยามหลับด้วย </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">การฝึกจิตเพื่อปรับปรุงตัวเองสู่กุศลกรรม เราอาจจะได้กระทำอยู่บ้างแล้วในช่วงชีวิตยามตื่น สำหรับการฝึกในด้านความฝันอาจเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคยกันนัก แต่กุศลกรรมจากการฝึกปฏิบัติแต่ละครั้ง ก็จะเป็นแรงหนุนให้เกิดรอยกรรมใหม่ซึ่งช่วยนำให้การฝึกครั้งต่อ ๆ ไปง่ายยิ่งขึ้น สามารถนำจิตวิญญาณเข้าสู่กระบวนการฝึกชั้นสูงขึ้นได้เอง </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">การฝึกเช่นนี้ไม่ใช่การใช้กำลังของจิตสำนึกไปบีบคั้นบังคับเพื่อเปลี่ยนจิตไร้สำนึกแต่อย่างใด แต่การฝึกฝันตามแบบโยคะทิเบต เป็นการสร้างโอกาสในการพัฒนาจิตวิญญาณ โดยอาศัยความเข้าใจตามหลักของ “กฏแห่งกรรม”ด้วยจิตที่มีสติรู้อยู่ตลอดเวลา (ทั้งยามตื่นและในฝัน) เราจึงจะสามารถรู้เท่าทันอารมณ์ที่สะสมอยู่ในอาลัยวิญญาณ และจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง (วิชชา) เมื่ออาลัยวิญญาณไม่ถูกต่อยอดด้วยอวิชชา จิตที่คลุมเครือก็จะค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น เป็นจิตที่สว่างไสวเมื่อจิตสว่างบริสุทธิ์ รอยกรรมซึ่งเป็นรากของความฝันก็จะไม่ปรากฏ กระบวนการล้างฟิล์มในขณะหลับก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เมื่อนั้นจึงจะไม่มีทั้งเรื่องราวในฝัน ไม่มีผู้ฝัน และไม่มีความฝัน คงมีแต่ภาวะแห่งความรู้แจ้ง นี่เป็นเหตุที่เราเรียกภาวะของการสิ้นสุดความฝันว่า <span style="color: #996633;"><strong>“การตื่นรู้”</strong> (การตื่นอย่างแท้จริง)</span></span><span style="color: #996633;"><br /><span style="font-family: "arial";"></span></span><span style="font-family: "arial";">........</span><br />
<span style="font-family: arial;"><br /></span>
<span style="font-family: arial;">ครูแม่ส้ม </span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-1111380659445070372005-03-20T20:47:00.000-08:002020-01-24T01:36:04.594-08:00จิตที่คลุมเครือ<span style="font-family: "arial";">...........</span><br />
<span style="font-family: "arial";">วันนี้ครูแม่ส้มแปลสุบินโยคะ ตอน "จิตที่คลุมเครือ"</span><br />
<span style="font-family: "arial";">...........</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">“รอยกรรม”</span> คือผลที่เกิดจากจาก “กรรม” หรือ “การกระทำ” ในอดีตทั้งหมด </span><br />
<span style="font-family: "arial";">ที่เรียกว่า <span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">“การกระทำ”</span>นั้น ไม่ได้มีความหมายเพียงการกระทำทางกาย แต่หมายรวมไปถึงการกระทำทางความคิด การกระทำทางวาจา และการกระทำทางใจด้วย เป็นผลแห่งการกระทำที่ครอบคลุมทุกด้านของชีวิต</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">รอยกรรมนี้มีที่อยู่เฉพาะเป็นพิเศษ ภาษาสันสกฤต เรียกว่า<span style="color: rgb(255 , 204 , 102);"> </span><span style="color: rgb(153 , 102 , 51);">“อาลัยวิญญาณ”</span> (alaya vijnana) ซึ่งคือที่พำนักของรอยกรรมนั่นเอง อธิบายง่าย ๆ ก็หมายถึงที่พักของจิตสำนึกและจิตไร้สำนึกทั้งหมด ที่สะสมอยู่ในจิตใจของเรา ซึ่งเป็นจิตที่ยังไม่รู้แจ้ง เป็นจิตที่ยังคลุมเครือ เป็นจิตที่ยังสับสนวุ่นวาย และเป็นจิตที่ยังมีกิเลส </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">อาลัยวิญญาณ หรือที่พักแห่งจิตที่ยังคลุมเครือนี้ ไม่ปรากฏให้สามารถชี้ตำแหน่งที่แน่ชัดลงไปทางกายภาพได้ว่าอยู่ตรงไหน อยู่ตรงหัวใจ หรืออยู่ในสมอง เพราะอาลัยวิญญาณมีภาวะที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาภายใต้เงื่อนไขของกรรม อุปมาง่าย ๆ อาลัยวิญญาณ เป็นดั่งคลังล่องหนที่เก็บทุกชิ้นส่วนของอารมณ์ความรู้สึกของเรา เป็นท้องพระคลังที่เก็บรวบรวมแบบแผนโครงสร้างชีวิตของเราอย่างละเอียด </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">แบบแผนโครงสร้างที่ถูกจัดเก็บอยู่ในคลังอารมณ์ที่เรียกว่า “อาลัยวิญญาณ”นี้ เป็นสิ่งกำหนดพฤติกรรมและประสบการณ์ทั้งหมด ทั้งพฤติกรรมภายนอก พฤติกรรมภายใน ประสบการณ์ภายนอก และประสบการณ์ภายในเมื่อร่างกายของคนเราสิ้นอายุขัย กายหยาบก็เน่าเปื่อยหมดสภาพไปตามธรรมชาติ แต่อาลัยวิญญาณนั้นยังคงดำรงอยู่ รอยกรรมที่ถูกเก็บไว้ในคลังที่มองไม่เห็นนั้น จะยังคงติดตามไปกำหนดแบบแผนชีวิตใหม่ของเราต่อไป ตราบใดที่จิตยังคลุมเครือไปด้วยความไม่รู้ ผลแห่งกรรมก็ยังคงถูกเก็บสะสมอยู่ในอาลัยวิญญาณไปเรื่อย ๆ จนกว่าจิตจะเข้าถึงความรู้จริง รู้แจ้ง เมื่อนั้นอาลัยวิญญาณก็จะสลายไป</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">....</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">จาก The Tibetan Yogas of Dream and Sleep </span><br />
<span style="font-family: "arial";">เท็นซิน วังจัล รินโปเช</span><br />
<br />
<span style="font-family: "arial";">ครูแม่ส้ม : ย่อยแปล</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-1111380434604800942005-03-20T18:45:00.000-08:002020-01-24T01:35:36.106-08:00๒.ประสบการณ์เกิดได้อย่างไร<span style="font-family: "arial";">........</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<strong><span style="color: rgb(153 , 102 , 51); font-family: "arial";">"ความไม่รู้ "</span></strong><br />
<strong><span style="color: rgb(255 , 204 , 102); font-family: "arial";"></span></strong><br />
<span style="font-family: "arial";">ประสบการณ์เกือบทั้งหมดในชีวิตเรา รวมทั้งประสบการณ์ในความฝันด้วย เกิดขึ้นจากความไม่รู้ที่บริสุทธิ์ การพูดเช่นนี้ค่อนข้างจะกระทบหลักการของชาวตะวันตกนิดหน่อย แต่ก่อนอื่น ขอให้เรามาทำความรู้จักกับความหมายของคำว่า “ความไม่รู้“ (ma-rigpa*) </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ธรรมเนียมอย่างทิเบต จำแนกความไม่รู้ออกเป็น ๒ พวก คือ ความไม่รู้แต่กำเนิด และความไม่รู้ทางวัฒนธรรม </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="color: rgb(153 , 102 , 51); font-family: "arial";"><strong>ก. ความไม่รู้ที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด</strong></span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ความไม่รู้ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด คือรากฐานของวังวนแห่งสุขทุกข์ (วัฏสงสาร) ซึ่งเป็นสิ่งกำหนดความแตกต่างของมนุษย์แต่ละคน เป็นความไม่รู้ถึงธรรมชาติเดิมแท้ของตัวเอง ไปจนถึงความไม่รู้ในธรรมชาติเดิมแท้ของโลกและจักรวาล นี่เองเป็นเหตุที่จูงมนุษย์เข้าไปพัวพันกับมายาการแห่งจิตที่เต็มไปด้วยทวิภาวะ ทวิภาวะลวงเราให้ตกอยู่ในรูปธรรมแห่งความเป็นขั้ว ๒ ด้านตรงข้ามกัน จำกัดประสบการณ์ของเราให้จำแนกสิ่งต่าง ๆ ออกเป็น ๒ ไม่ขาวก็ดำ ไม่ถูกก็ผิด มีฉันและมีเธอ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">และด้วยความไม่รู้ที่นำเรามายึดติดกับการแบ่งแยกเช่นนี้ ได้พาเราพัฒนาไปสู่ความเคยชินต่อการตัดสินสิ่งต่าง ๆ พอชอบก็รัก ครั้นไม่ชอบก็ชังที่สุดก็นำเราไปสู่การตัดสินตัวเอง ฉันเป็นคนอย่างนั้น ฉันเป็นคนอย่างนี้ ฉันต้องการอย่างนี้ ฉันไม่ต้องการอย่างนั้น ฉันชอบที่จะอยู่ที่นั่นมากกว่าที่นี่ สิ่งนี้ฉันชอบ ฉันนับถือ แต่ถ้าสิ่งที่ตรงข้ามและต่างออกไปก็คือสิ่งที่ฉันรังเกียจ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">เราแสวงหาความพึงพอใจ ความสุขสบาย ความร่ำรวย สุขอนามัยที่ดี และยศฐาบรรดาศักดิ์ เราล้วนต้องการสิ่งเหล่านี้เพื่อตัวเราเองและบุคคลที่เรารัก และแล้วเราก็ละเลยมนุษย์คนอื่น ๆ เราหิวกระหายประสบการณ์แปลกใหม่ที่แตกต่างไปจากที่เราเคยผ่านพบมาแล้ว เราไขว่คว้าประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจไว้อย่างเหนียวแน่น ในขณะเดียวกันเรากลับพยายามสุดชีวิตที่จะหลีกหนีไปให้พ้นจากประสบการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเหล่านี้ล้วนคือ “ความไม่รู้” หรือ “อวิชชา” ที่ติดตัวเรามาแต่กำเนิด</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="color: rgb(153 , 102 , 51); font-family: "arial";"><strong>ข. ความไม่รู้ทางวัฒนธรรม</strong></span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ความไม่รู้ทางวัฒนธรรม ถูกสถาปนาขึ้นเมื่อความปรารถนาโคจรมาพบกับความรังเกียจเดียจฉันท์ ก่อร่างขึ้นเป็นสถาบันทางวัฒนธรรมที่ประมวลผลด้วยระบบคุณค่าของสังคมนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ในอินเดีย ชาวฮินดูเชื่อว่าการกินเนื้อวัวนั้นบาป กินเนื่อสุกรดีกว่า ส่วนชาวมุสลิมกลับเชื่อว่าควรกินเนื้อวัว และห้ามกินเนื้อหมูเด็ดขาด ชาวทิเบตกินทั้งเนื้อวัวและเนื้อหมู </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ทีนี้ใครผิดใครถูกกันเล่า ชาวฮินดูย่อมเชื่อว่าคนฮินดูนั้นถูก ชาวมุสลิมก็ต้องยืนยันว่ามุสลิมนั้นก็ถูก และชาวทิเบตก็ย่อมต้องเชื่อว่าตัวเองก็ถูกเช่นกัน ความเชื่อที่แตกต่างแปลกแยกเช่นนี้ เกิดขึ้นมาจากมายาคติทางวัฒนธรรม มิใช่เกิดจากรากฐานที่แท้จริงทางปัญญา</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอีกอันหนึ่ง คือความขัดแย้งภายในของสำนักปรัชญาต่าง ๆ การก่อกำเนิดขึ้นของระบบปรัชญาหลายสำนัก เกิดขึ้นมาจากการพยายามตีความเพื่อหาข้อโต้แย้งและข้อผิดพลาดของสำนักปรัชญาอื่น แม้ว่าเป้าประสงค์ของตัวระบบปรัชญาเองจะมีเจตนาอยู่ที่การเติบโตทางสติปัญญาก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันระบบเช่นนี้ก็ได้ก่อร่างความไม่รู้แห่งการยึดมั่นถือมั่น และสร้างความจริงเชิงทวิภาวะขึ้น </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ความเข้าใจสัจจะด้วยระบบคิดทางปรัชญาเช่นนี้ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะโดยตัวมันเองก็เป็นการสถาปนาความจริงแห่งความไม่รู้ขึ้นด้วยเช่นกันความไม่รู้ทางวัฒนธรรม ได้ถูกพัฒนาและสงวนไว้อย่างเข้มแข็งผ่านจารีตประเพณี ได้แผ่ซ่านครอบคลุมไปในทุก ๆ วัตรแห่งชีวิต และในทุกโครงสร้างของการศึกษา ทั้งระดับบุคคล และระดับสังคม จนเป็นที่ยอมรับกันว่าความไม่รู้เช่นนี้คือสามัญสำนึกแห่งมนุษย์ หรืออีกนัยหนึ่งคือกฏของพระผู้เป็นเจ้า </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ในช่วงชีวิตของคนเรา ถูกผูกแนบเข้ากับหลักความเชื่อจากหลายทิศทาง ทั้งจากนโยบายทางการเมือง จากระบบทางการแพทย์ จากความเชื่อทางศาสนา และจากระบบการศึกษา เหล่านี้หล่อหลอมวิธีคิด วิธีรู้สึก ไปถึงวิธีตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างเราเข้าชั้นเรียนอนุบาล ผ่านชั้นประถม มัธยม และในที่สุดรางวัลแห่งปริญญาบัตรนั้นเองได้กลายเป็นประกาศิตแห่งความไม่รู้ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ระบบการศึกษากระแสหลักปลูกฝังนิสัยในการตรวจสอบโลกด้วยเลนส์ที่ชื่อว่า “อวิชชา” ซึ่งทำให้เรากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างนวัตกรรมความไม่รู้ขึ้น เราภาคภูมิและชื่นชมความไม่รู้เช่นนี้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ผู้ชำนาญการเหล่านี้ ล้วนร่ำเรียนและใช้เครื่องมือที่แหลมคมในการตรวจสอบทุกรายละเอียดของความรู้ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">แต่ตราบใดที่ความไม่รู้โดยกำเนิด (อวิชชา) ยังไม่ถูกทะลุทะลวง ความรู้ที่ได้นั้น ก็จะเป็นเพียงปัญญาแห่งมายาคติเท่านั้นเราถูกทำให้ติดกับอยู่กับความเชื่อด้วยความไม่รู้ทางสังคม ตั้งแต่อนุบริบทในชีวิตส่วนตัว เช่นการเลือกยี่ห้อสบู่ ยาสีฟัน การจัดทรงผมให้เข้าสมัยของแฟชั่น ไปถึงบริบทขยายที่พัฒนาขึ้นผ่านความเชื่อทางศาสนา ระบบการเมือง ระบบคิดทางปรัชญา การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ และความพยายามเข้าใจมนุษย์ผ่านวิชาจิตวิทยา </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับความเชื่อว่า การกินหมูนั้นบาป การกินเนื้อวัวนั้นบาป ไม่มีทารกคนไหนที่เกิดมาพร้อมกับความเชื่อโดยกำเนิดว่า ศาสนานี้ดีกว่าศาสนานั้น หรือหลักปรัชญานี้ถูกต้องและหลักปรัชญานั้นผิด ความเชื่อพวกนี้ล้วนถูกปลูกฝังผ่านกระบวนการการเจริญเติบโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ในแต่ละสังคม แต่ละยุคสมัย </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">การสวามิภักดิ์ต่อคุณค่าแห่งความไม่รู้ทางวัฒนธรรม ก่อให้เกิดความคับแคบและข้อจำกัด อันนำเราไปสู่การตัดสินโลกแบบทวิภาวะ และข้อจำกัดเหล่านี้ เบื้องลึกแล้วก็ล้วนเกิดมาจากความไม่รู้โดยกำเนิด (อวิชชา) นั้นเอง </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ที่กล่าวมาเบื้องต้นไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไร เป็นแต่เพียงการเสนอให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ตราบใดก็ตามที่มนุษย์ยังถูกพันธนาการด้วยทวิปัญญา มนุษย์ก็ยังต้องก่อสงครามขึ้นมาประหัตประหารกัน เท่า ๆ กับที่มนุษย์สามารถสร้างสรรค์เทคโนโลยีและศิลปะวิทยาการที่มีประโยชน์ต่อตนเองฉะนั้น</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ในทิเบต มีสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อเราอยู่ในร่างของลา จงสำราญในรสแห่งต้นหญ้า” กล่าวอีกนัยหนึ่ง จงชื่นชมและเพลิดเพลินกับชีวิตนี้ เพราะชีวิตเต็มไปด้วยความหมายและมีคุณค่าในตัวเอง และที่สำคัญ มันเป็นชีวิตที่วิญญาณเราพำนักอยู่หากเราไม่สามารถดูแลที่พำนักแห่งวิญญาณ (อาลัยวิญญาณ)นี้ได้เอง </span><span style="font-family: "arial";">คำสอนของครูบาอาจารย์ ก็สามารถช่วยนำทางเราได้ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">แต่บางคนอาจจะกล่าวว่า “ความอยาก” ที่จะไปพ้นความไม่รู้ และความพยายามกำจัดการเสพติดในรสต่าง ๆ นั้นโดยตัวมันเองก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน หรือบางคนอาจจะพูดว่าชีวิตเราล้วนดำเนินไปตามความไม่รู้แห่งสังสารวัฏ มันเป็นความคลุมเครือพื้นฐานแห่งจิตใจของมนุษย์เท่านั้นเอง ดังนั้นจงร่ายรำไปในมณฑลแห่งความไม่รู้นั้นเถิด เพราะการต้านทานธรรมชาติของความไม่รู้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับความคิดแบบทวิภาวะ </span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">สังเกตดูสิ คำพูดและความคิดเหล่านี้ ทำให้เราสามารถเห็นว่า แม้แต่คำสอนหรือศีลเองก็ยังถูกตีความไปอย่างวิปริตสับสนดังตัวอย่างที่เห็นกันอยู่เนือง ๆ เมื่อคำว่า”ไร้ศีลธรรม” ได้ถูกตีความด้วยความไม่รู้เชิงทวิภาวะ และความไม่รู้ทางวัฒนธรรม ซึ่งสร้างความเข้าใจที่ตื้นเขินและสับสนต่อคำว่า “ไร้ศีลธรรม” จนไม่สามารถเข้าใจถึงรากฐานที่แท้จริงแห่งความไร้ศีลธรรมได้ ความไม่รู้และความเข้าใจผิดเช่นนี้ เป็นคำตอบว่า ทำไมการฝึกฝนในวัตรปฏิบัติที่นำเราให้พบประสบการณ์ตรงจากภายในจึงสำคัญยิ่ง เพราะการปฏิบัติและประสบการณ์ภายใน จะช่วยยกระดับการรับรู้ของเราให้ละเอียดขึ้น ช่วยให้แนวโน้มที่เราจะตัดสินโลกแบบทวิภาคค่อย ๆ จางลง</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">............</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">คัดเรื่องเกี่ยวกับความฝันในแง่มุมทางทิเบต หรือ สุบินโยคะ </span><br />
<span style="font-family: "arial";">ซึ่งได้แปลไว้อย่างไม่เป็นทางการมาให้อ่าน</span><br />
<span style="font-family: "arial";">ผู้เขียน คือ เท็นซิน วังจัล รินโปเช</span><br />
<span style="font-family: "arial";"></span><br />
<span style="font-family: "arial";">ครูแม่ส้ม : สมพร อมรรัตนเสรีกุล </span><span style="font-family: "arial";">แปล </span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11491017.post-1110991398600021652005-03-16T08:35:00.000-08:002020-01-24T01:34:34.140-08:00ธรรมชาติของความฝัน ๑ : ความฝันและความจริง<span style="font-family: "arial";"><span style="font-family: "arial";">ครูแม่ส้ม : </span><span style="font-family: "arial";">แปลและเรียบเรียง<br />จาก The Tebetan Yogas of Dream and Sleep<br />เขียนโดย Tenzin Wangyal Rinpoche</span></span><br />
<span style="font-family: "arial";">....<br /><br /><strong>๑ . ความฝัน และ ความจริง</strong><br /><strong></strong><br />เราทุกคนล้วนฝัน ไม่ว่าเราจะจำความฝันนั้นได้หรือไม่ก็ตาม เราฝันตั้งแต่แบเบาะจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิต ทุก ๆ คืนเราล่วงเข้าสู่โลกที่ไม่มีใครรู้จัก ในความฝันบางครั้งเราก็เป็นตัวเราเอง แต่บางครั้งเราก็กลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่เราเองก็ไม่รู้จัก<br /><br />ในความฝันเราได้เจอกับผู้คนมากมาย บางคนเป็นคนคุ้นเคย แต่บางคนก็เป็นคนแปลกหน้า และเราก็ยังได้พบกับคนที่ทั้งมีชีวิตอยู่และบางคนก็ตายไปแล้ว โลกในความฝัน เราเหาะเหินเดินอากาศได้ เรากลายเป็นอะไรก็ได้ที่มากกว่าการเป็นมนุษย์ธรรมดา เราพบประสบการณ์แห่งสุขและทุกข์ เราหัวเราะ เราร้องไห้ เราหวาดผวา เรากลัวสุดขีด เราปิติยินดี หรือไม่เราก็เกิดความรู้ความเข้าใจสิ่งใหม่ ๆ ในขณะฝัน<br /><br />แม้ว่าความฝันจะเป็นประสบการณ์น่าพิศวงขนาดนี้แล้ว แต่พวกเราก็ใส่ใจความอัศจรรย์นี้น้อยมาก ชาวตะวันตกศึกษาความฝันกันในเชิงทฤษฎีทางจิตวิทยา สืบต่อมาภายหลัง นักจิตวิทยาเริ่มให้ความสนใจที่จะใช้ความฝันค้นหาชีวิตในภาคของจิตวิญญาณ แต่พวกเขาก็ยังเพียงพุ่งเป้าไปที่เนื้อหาและความหมายของความฝันเท่านั้น น้อยนักที่จะเข้าถึงธรรมชาติที่แท้จริงของความฝัน ทั้งที่การเข้าถึงธรรมชาติของความฝัน จะหนุนนำเราให้เข้าสู่กระบวนการลี้ลับของชีวิต ทั้งในชีวิตยามตื่น ชีวิตยามหลับ และชีวิตหลังความตาย<br /><br />ขั้นตอนแรกของการ <strong>“ฝึกฝัน”</strong> นั้นค่อนข้างเรียบง่าย เราจำต้องรู้จักศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ของความฝันซึ่งนำดวงวิญญาณของเราออกไปท่องเที่ยวขณะที่เราเข้าสู่ห้วงชีวิตหลับ แต่โดยทั่วไปความฝันมักไม่ถูกยอมรับว่าเป็น “เรื่องจริง” ไม่เหมือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตยามตื่น ที่คนทั่วไปเชื่อว่าเป็น “เรื่องจริง” ยิ่งกว่า<br /><br />ในทางสุบินโยคะ (Dream Yoga) ของธิเบต เชื่อว่าไม่มีอะไร <strong>“จริง”</strong> ไปกว่าความฝัน และในทำนองเดียวกัน ก็ไม่มีอะไร <strong>“จริง”</strong> เท่ากับชีวิตตื่น ดังนั้นทั้งชีวิตตื่นและชีวิตหลับ จึง <strong>“จริง”</strong> และ <strong>“ไม่จริง”</strong> เสมอกัน สุบินโยคะ สอนให้ใส่ใจในประสบการณ์ของความ<strong> “จริง”</strong> และ <strong>“ไม่จริง”</strong> ทั้ง 2 ภาค ทั้งฝันกลางวันขณะตื่น และฝันกลางคืนยามนิทรา<br /><br />..........<br /></span><span style="font-family: "arial";">ครูแม่ส้ม : </span><span style="font-family: "arial";">แปลและเรียบเรียง<br />จาก The Tebetan Yogas of Dream and Sleep<br />เขียนโดย Tenzin Wangyal Rinpoche</span>Som Amorn ครูแม่ส้มhttp://www.blogger.com/profile/10332778526645659519noreply@blogger.com0